มอง Upside ของ SET จะเริ่มจำกัด 1662-1670

กรอบ SET INDEX

Market Outlook

การปรับขึ้นเมื่อวานนี้ของ SET INDEX ช่วงท้ายตลาดเชื่อว่าหลักๆ มาจากการปิดสัญญาของ TFEX ในส่วนของ SET50 ขณะที่เมื่อวานที่ผ่านมาทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือนพ.ย. พบว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ รวมถึงการบริโภคเอกชนที่ปรับดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มูลค่าส่งออกปรับลดลงตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว สำหรับแนวโน้มเดือนธ.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่ามีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ต้องติดตาม (1) อุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอตัว (2) การเปิดประเทศของจีน (3) การปรับเพิ่มต้นทุนค่าจ้างและราคาสินค้า (4) ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันรายงานดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาติดลบที่ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเกินดุล 1.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทมิได้อ่อนค่าแต่อย่างใด สะท้อนถึงตลาดเชื่อว่าหลังจากนี้จะกลับมาเกินดุลได้ ทั้งนี้ในส่วนของ SET INDEX หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นมาราว 8.3% จากจุดต่ำสุดในช่วง 7 เดือน พบว่าปัจจุบันในเชิงของ Earnings Yield Gap เริ่มต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และอยู่ในจุดที่เข้าใกล้ -1SD โดย (-1SD จะอยู่ราว 1,700) ซึ่งบ่งชี้ว่าระดับ Valuation ปัจจุบันของ SET เริ่มไม่ถูก และหากปี 2023 เศรษฐกิจโลกเห็นการอ่อนแรงลงก็มีความเสี่ยงที่ประมาณการกำไรตลาดหุ้นทั้งโลกจะเผชิญกับ Downside  ซึ่งจะกดดันให้ Valuation ยิ่งแพง ดังนั้น SET INDEX ณ บริเวณปัจจุบัน เราจึงมองว่าเป็นจุดที่ไม่ควรประมาทและไม่ควรไล่ราคา โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวที่ราคาหุ้นบางตัวสูงเกินกว่าช่วงก่อนเกิด Covid-19 ไปแล้ว วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1662-1670 น่าจะเริ่มลดความร้อนแรงลงบ้างหลังจากวานนี้ปรับขึ้นมาเด่น 0.85% เด่นสุดในเอเชีย

  • เชิงกลยุทธ์การลงทุนไม่ไล่ราคา และไม่ควรสะสมหุ้นโซนนี้ เน้นเป็นเพียง Trading ในหุ้นที่ยัง Laggard แต่มีปัจจัยบวก อาทิ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, SCB, TTB) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) กลุ่มค้าปลีก (BJC, HMPRO) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH)

หุ้นแนะนําซื้อวันนี้

RATCH ราคาพื้นฐาน 55.00 บาท

มองบวกต่อภาพรวมปี 2023 หนุนจากการใช้เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน (แล้วเสร็จในไตรมาส 2/22) ไปกับการลงทุน ในโครงการ NEJV (1,500MW และดำเนินงานอยู่ 450M) และโรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ขนาด 930MWe ในอินโดนีเซีย ที่จะกระตุ้นให้กำลังการผลิตในการดำเนินงานของ RATCH เพิ่มขึ้น 16% จากปัจจุบันที่ 9.2MWe ซึ่งคาดว่าจะชดเชย Dilution ที่มีต่อ EPS ได้ทั้งหมด

 

SCB ราคาพื้นฐาน 144.00 บาท

คาดส่วนแบ่งรายได้ดิจิทัลเพิ่มเป็น 30% จากปัจจุบันที่ 10% และกระตุ้นให้อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น บริษัทตั้งเป้า ROE ธุรกิจธนาคารรในหลักสิบต้นสำหรับปี 2025

Pi Technical Daily

เข้าปะทะเป้าหมายระยะสั้น

หุ้นแนะนำวันนี้

- Advertisement -