Our View? “เปราะบาง”
คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,670 / 1,660 และแนวต้านที่บริเวณ 1,685 / 1,695 เรามีมุมมองเป็นกลางต่อรายงานการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เมื่อคืนนี้โดยระบุว่า FED จะยังเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าจะมีหลักฐานว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่คณะกรรมการทุกคนมีความเห็นตรงกันว่า FED ควรต้องชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลด ความเสี่ยงที่จะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ สะท้อนถึงแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปของ FED อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าตลาดอาจได้รับ Sentiment เชิงบวกบ้างหลังเมื่อคืนนี้สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐเตือน ธ.ค. ของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 48.4 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สะท้อนอัตราดอกเบี้ยของ FED เริ่มส่งผลต่อภาคการผลิตแล้ว คาดจะเป็นแรงกระตุ้นความหวัง FED จะเริ่มหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป โดยล่าสุด CME FED Watch Tools บ่งชี้ตลาดคาดว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 3 ครั้ง ที่ระดับ 0.25% จนอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปสู่ระดับ 5.25% แล้วจะเริ่มหยุดการขึ้นดอกเบี้ยลงในช่วง 2H66 ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ก่อนหน้า
อย่างไรก็ดี เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อการที่เศรษฐกิจไทย คาดจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งหายไปนานกว่า 3 ปี โดยในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย ราว 11 ล้านคน คิดเป็นราว 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด คาดส่งผลให้คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เกินกว่า 25 ล้านคนได้ในปี’66 มองเป็นปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจในประเทศในส่วนของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยบวกหนุนหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการที่จีนเปิดประเทศ อาทิ AOT, AAV, BA, CENTEL, MINT, ERW, AWC, SPA, AU, BAFS และ TKN อย่างไรก็ตาม เราคาดการเปิดประเทศที่เร็วเกินไปของจีน คาดอาจส่งผลให้ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดได้มากขึ้นอีกครั้ง แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากนัก คาดชาวจีนบางกลุ่มอาจเข้ามาเพื่อใช้บริการฉีดวัคซีนและดูแลสุขภาพมากขึ้น มองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่ม ร.พ. BH, BDMS, BCH, PR9, CHG และ EKH
ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ก.พ. เมื่อคืนนี้ปรับตัวลงแรง ปิดที่ระดับ 72.84 ดอลลาร์/บาร์เรล -4.09 ดอลลาร์ (-5.32%) จากความกังวลการเร่งตัวขึ้นของผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในจีน และคาดการเปิดประเทศของจีนอาจทำให้การแพร่ระบาดกลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง ลดทอนอุปสงค์น้ำมัน ขณะที่มีรายงานจีนเพิ่มโควต้าการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมัน บ่งชี้อุปสงค์ในจีนอ่อนแอ รวมทั้งดัชนีดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือน ธ.ค. ของจีน โดย Caixin เมื่อคืนนี้ออกมาที่ระดับ 49.0 บ่งชี้ภาคการผลิตจีนยังคงหดตัวต่อเนื่อง อีกทั้งราคาพลังงานยังเผชิญแรง กดดันจากความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป คาดจะเป็นปัจจัยกดดันทิศทางหุ้นในกลุ่มพลังงานได้อยู่ แต่เป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางหุ้นในกลุ่ม Anti-Commodity อย่างหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GULF และ GPSC)
สําหรับปัจจัยในประเทศวันนี้ ติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน ธ.ค. คาดจะออกมาที่ระดับ 5.9% เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนที่ 5.55% อาจเป็นจิตวิทยาเชิงลบกระตุ้นแรงขายทำกำไรได้บ้าง อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวลงมาเรามองเป็นจังหวะในการเข้าซื้อสะสม จากมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาพของการฟื้นตัวต่อเนื่อง อีกทั้งแนวโน้มการเลือกตั้งใหญ่ของไทยที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน มี.ค.- พ.ค. 66 มองเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย กระตุ้น Fund Flow ไหลเข้าได้ต่อเนื่อง รวมทั้งเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK, SCB และ KTB) จากการที่สมาคมธนาคารไทยแจ้งธนาคารพาณิชย์เตรียมทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.40% ต่อปี หลัง ธปท.ประกาศสิ้นสุดมาตรการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) กลับเข้าสู่อัตรา 0.46% ต่อปี ตั้งแต่ 1 ม.ค. 66 เป็นต้นไป จากระดับปัจจุบันที่จ่ายเข้ากองทุนที่ระดับ 0.23% ต่อปี คาดเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารได้ต่อ อย่างไรก็ตาม แนะนำติดตามการเคลื่อนไหวของหุ้น DELTA ซึ่งในขณะที่เข้าคำนวณในดัชนี SET100 และมี Market Cap. สูงที่สุดในตลาด คาดจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนได้
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้ “BCH”
กลยุทธ์ แนวรับ 20.60 / 20.20 Target 22.10 / 23.10 Stop <19.90