Daily Focus: Laggard Play

2023SET Target: 1760

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นและแข็งแกร่งกว่าคาดอย่างต่อเนื่อง ปิดบวกอีกถึง 17.26 จุด หนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ทั้ง DELTA CPALL รวมถึงกลุ่มไฟแนนซ์ที่มีแรงซื้อหนาแน่นจาก Bond Yield ที่ปรับลงสะท้อนความคาดหวังดอกเบี้ยใกล้ Peak สถาบันในประเทศมีสถานะทรงตัว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิสูงต่อเนื่องอีก 4.3 พันลบ. (และ Long Index Futures อีก 7 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่ง Sideways ลดความร้อนแรงลงจากวานนี้ที่พุ่งขึ้นแรง โดยมีแนวต้านจิตวิทยาที่ 1,700 จุด ตลาดตอบรับเชิงบวกต่อประเด็นจีนเปิดประเทศ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว ทำให้ตลาดคาดหวังมากขึ้นว่า FED ชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปเหลือ 0.25% ด้วยความน่าจะเป็นสูงถึง 80% อย่างไรก็ตาม ประธาน FED บางยังออกมาส่งสัญญาณว่าดอกเบี้ย FED จะยังปรับขึ้นสูงกว่าระดับ 5% โดยปัจจัยสําคัญที่ต้องติดตามในช่วงปลายสัปดาห์นี้ คือ เงินเฟ้อ CPI เดือน ธ.ค. ของสหรัฐฯ คืนวันพฤหัสฯ หากออกมาลดลงตามคาดหรือต่ำกว่าคาดจะยิ่งหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม Growth และ Tech ขณะที่ Bond Yield จะปรับตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เริ่มเห็นการเกิด Sector Rotation หากลุ่มที่ Laggard เช่น ไฟแนนซ์ คาดว่าระยะสั้นจะสามารถ Outperform ได้ต่อเนื่อง

กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic/Reopening Play เน้นกลุ่ม Laggard

หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : AAV, BCP, CENTEL, M, MAKRO

หุ้นเด่นวันนี้ : PTG

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.30 บาท
  • คาดกําไร 4Q22 ของ PTG จะเร่งตัวทั้ง Q-Q และ Y-Y จากทั้งปริมาณการที่ปรับตัวขึ้นตาม High Season และการเปิดเมืองเต็มที่ ขณะที่ค่าการตลาดคาดยังอยู่ในระดับที่ดี รวมถึงธุรกิจ Non-Oil ที่ฟื้นตัว
  • เราคาดกำไรปี 2023 จะเร่งตัวขึ้นได้ต่อเนื่องทั้งจากธุรกิจ Oil และ Non-Oil ที่ดีขึ้น ค่าการตลาดกลับสู่ระดับปกติ และธุรกิจ Palm Complex ที่คาดไม่ถ่วงผลการดำเนินงานเท่าปีก่อน
  • แนวรับ 14-13.90 บาท แนวต้าน 15-15.10 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคหนาแน่น US$1,927 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,230 ล้าน และ US$549 ล้าน ตามลำดับ ตอบรับเชิงบวกต่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนวันศุกร์ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้ากระจุกที่ไทย US$130 ล้าน และยังไหลออกจากอินโดนีเซียบางๆ US$10 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าแต่เบาบางลง ตลาดรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. ปลายสัปดาห์

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ตลาดเริ่มเปลี่ยนกลุ่มเล่นมายังไฟแนนซ์ หลังแนวโน้ม Bond Yield ปรับลงในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยสำหรับอายุ 10 ปีของไทยปรับลงจาก 3.2% เหลือราว 2.5% เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ที่ปรับลงจาก 4.3% เหลือ 3.6% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งตลาดประเมินว่า Bond Yield อาจผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ คืนวันศุกร์ที่ออกมาต่ำกว่าคาด สร้างความคาดหวังว่าแก่ตลาดว่าจะทำให้ FED ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยเช่นกันในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. นี้เหลือเพียง 0.25% ทำให้กลุ่มไฟแนนซ์ที่ Underperform มานานจากความกังวลดอกเบี้ยขาขึ้นกลับมาเคลื่อนไหวได้ดีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ การปรับขึ้นของ NPL ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ Valuation ส่วนใหญ่กลุ่มไฟแนนซ์ยังเทรด PER ราว 16+- เท่า ต่ำกว่าช่วงก่อน COVID-19 ที่ราว 20 เท่าหรือสูงกว่าทั้ง MTC SAWAD TIDLOR SAK ASK

(+) กลุ่มโรงไฟฟ้า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยปี พ.ศ. 2561-2580 ที่ทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของภาครัฐลดลงต่ำกว่า 51% ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ เป็น Sentiment บวก ส่วนผลประกอบการปี 2023 มีแนวโน้มฟื้นตัวตามต้นทุนก๊าซที่ผ่อนลง ค่า Ft ที่ปรับขึ้น และบาทแข็ง เป็นบวกต่อ GULF BGRIM GPSC RATCH EGCO

(0) TTA คาดกำไร 4Q22 -42% Q-Q, -45% Y-Y ถ่วงจากธุรกิจเรือเทกองที่มีแรงกดดันจากค่าระวางเรือที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง แม้ธุรกิจ Offshore จะยังแข็งแรง แต่ไม่สามารถชดเชยได้หมด ส่วนธุรกิจปุ๋ยคาดว่ายังอ่อนแอจากต้นทุนก๊าซที่สูง และ Demand ที่ยังลดลง เราคาดว่าค่าระวางเรือจะยังปรับลงในปี 2023 โดย BDI มีแนวโน้มปรับลงอีก 15-25% จากปัจจุบันตามการค้าโลกที่ชะลอตามภาวะเศรษฐกิจ เราคาดกำไรปี 2022 ของ TTA +22% Y-Y เป็นจุด Peak ก่อนชะลอตัว -38% Y-Y ในปี 2023 ประเมินราคาเป้าหมาย 10 บาท แนะนำ “ซื้อ” จาก Upside ที่ยังกว้างกว่า 10% แต่ไม่ใช่กลุ่มที่เราชอบเนื่องจากทิศทางกำไรเป็นขาลง

 

(-) ตลาดดาวโจนส์ ปิดลดลง 112.96 จุด หรือ -0.34% ปิดที่ 33,517.65 จุด จากแรงขายทำกำไรจากการปรับขึ้นก่อนหน้า ขณะที่นักลงทุนรอตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค.ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก ยังคงได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีน

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก โดยนักลงทุนคาดหวังว่า FED จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.44 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 86 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 74.63 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการคาดการณ์ว่าการเปิดประเทศของจีนจะช่วยหนุนความต้องการใช้น้ำมัน ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นต่อที่ระดับ 74.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.09%

(+) ราคาทองคำ COMEX ปิดเพิ่มขึ้น 8.1 ดอลลาร์ หรือ 0.43% ปิดที่ 1,877.8 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และคาดว่า FED จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ในขณะที่เช้านี้ปรับลงที่ระดับ 1,874.7 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.17%

SPDR Gold Trust ถือครองทองค่า 915.32 / –

- Advertisement -