Our View? “เพลาๆ ลงหน่อย”
คาดตลาดวันนี้ “Sideway Up” มองแนวรับที่บริเวณ 1,685 / 1,680 และแนวต้านที่บริเวณ 1,695 / 1,700 มองตลาดเริ่มขาดปัจจัยใหม่เข้าสนับสนุน รวมทั้งยังให้น้ำหนักต่อการรอดูตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในวันที่ 12 ม.ค. นี้ คาดจะเป็นปัจจัยบ่งชี้แนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ในการประชุม FOMC เดือน ก.พ. นี้ โดยล่าสุด ตลาดคาดจะออกมา +6.5% YoY และ -0.1% MoM ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนอยู่ที่ระดับ +7.1% YoY และ +0.1% MoM สะท้อนทิศทางเงินเฟ้ออยู่ในภาพของการปรับลดลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยของแรงงานเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 0.3% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และชะลอตัวลง 0.6% MoM รวมทั้งตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยของแรงงานเดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 4.6% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ระดับ 5.0% อีกทั้ง ดัชนีภาคบริการเดือน ธ.ค. โดย ISM ออกมาอยู่ที่ระดับ 49.6 ต่ำกว่าที่ตลาดคาด และต่ำกว่าระดับ 50.0 บ่งบอกแนวโน้มการหดตัวของภาคการบริการของสหรัฐ คาดเป็นผลจากการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในช่วงก่อนหน้าเริ่มส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อระยะกลางของสหรัฐมีโอกาสจะเริ่มปรับลดลงได้ในระยะถัดไป FED จะเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ยและหยุดการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ได้บ้าง โดยล่าสุด CME FED Watch Tools บ่งชี้ตลาดคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% อีก 2 ครั้งในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ระดับ 5.00% ต่ำกว่าคาดการณ์ก่อนหน้าที่ 5.25% อย่างไรก็ตาม นางแมรี ดาลี ประธาน FED สาขาซานฟรานซิสโก ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า FED ควรปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเหนือระดับ 5.00% เพื่อกดอัตราเงินเฟ้อให้เข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 2.00% คาดจะเป็นปัจจัยลดทอนความคาดหวังของตลาดได้บ้างเล็กน้อย
ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ก.พ. เมื่อคืนนี้ยังคงแกว่งตัวออกด้านข้างในกรอบแคบพยายามฟื้นตัวขึ้นบ้างแต่ยังอ่อนกำลังอยู่ ปิดที่ระดับ 75.12 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.49 ดอลลาร์ (+ 0.66%) โดยได้รับแรงหนุนจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) คาดการณ์ปริมาณความต้องการใช้เชื้อเพลิงทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.2 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี’67 จากการกลับมาขยายตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะจีนและอินเดีย อย่างไรก็ตาม เรายังมองความเสี่ยงในด้านของสหรัฐ-ยุโรปมีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย คาดยังเป็นปัจจัยจำกัด Upside ของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้อยู่
สำหรับปัจจัยในประเทศ เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการที่เศรษฐกิจไทยคาดจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนซึ่งหายไปนานกว่า 3 ปี โดยในช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทยราว 1 ล้านคน คิดเป็นราว 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด คาดส่งผลให้คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เกินกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 25 ล้านคนได้ในปี’66 เป็นปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจในประเทศในส่วนของภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง เป็นปัจจัยบวกหนุนหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการที่จีนเปิดประเทศ อาทิ AOT, AAV, BA CENTEL, MINT, ERW, AWC, SPA, AU, BAFS, MBK, VGI, PLANB และ TKN รวมทั้งเรายังชอบหุ้นในกลุ่ม Health Care อาทิ BH, BDMS, BCH, PR9, WPH, CHG, EKH, MEGA และ HL จากคาดการเปิดประเทศที่เร็วเกินไปของจีน คาดอาจส่งผลให้ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดได้มากขึ้นอีกครั้ง แต่คาดว่าจะไม่ส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากนัก มองชาวจีนบางกลุ่มอาจเข้ามาเพื่อใช้บริการฉีดวัคซีนและดูแลสุขภาพมากขึ้น
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนำวันนี้ “HL”
กลยุทธ์ แนวรับ 24.70 / 24.40 Target 27.00 / 29.00 Stop <24.00