Daily Focus: Laggard Play
2023SET Target : 1760
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งทรงตัวออกข้างลดความร้อนแรงตามที่ประเมิน ระหว่างวันเคลื่อนไหวในแดนลบเล็กน้อย แต่มีแรงซื้อหนุนช่วงท้ายให้ดัชนีฟื้นมาปิดบวก 0.29 จุด กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นดี ได้แก่ ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง ซึ่ง Laggard ในช่วงก่อนหน้า สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้น 2.6 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิสูงติดต่อกันเป็นวันที่ 3 อีก 4.3 พันลบ. (แต่ Short Index Futures 4.1 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways to Sideways Up ได้ โดยยังคงมีแรงหนุนจาก Sentiment บวกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังปรับตัวขึ้น โดยความคาดหวังเชิงบวกยังคงอยู่ในเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และคาดทำให้ FED ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ดัชนียังมีแนวต้านจิตวิทยาที่สำคัญ 1,700 จุด และมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามคือเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. ที่จะประกาศคืนวันพฤหัสฯ หากออกมาลดลงตามคาดหรือต่ำกว่าคาดจะช่วยหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงปรับขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม Growth และ Tech เพิ่มโอกาสที่ FED จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยเหลือเพียง 0.25% ในการประชุมต้นเดือน ก.พ. และ Bond Yield คาดทยอยปรับตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงกว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเกือบ 100 จุด ทำให้ระยะสั้น Upside เริ่มจำกัดมากขึ้น สะท้อนผ่านการเกิด Sector Rotation เข้าหากลุ่มที่ Underperform ในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ระยะกลาง-ยาว เรายังชอบกลุ่ม Domestic/Reopening Play ที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ฟื้น
กลยุทธ์ : ยังชอบกลุ่ม Domestic/Reopening Play ระยะสั้นเน้น Laggard
หุ้นเด่นเดือน ม.ค. : AAV, BCP, CENTEL, M, MAKRO
หุ้นเด่นวันนี้ : AH
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 42 บาท
- โมเมนตัมกำไรปกติ 4Q22 คาดยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากทั้งคำสั่งซื้อลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุน ส่วนกำไรสุทธิอาจชะลอลงจากบาทแข็ง ซึ่งจะทำให้เกิด FX Loss ประมาณการกำไรปี 2022 คาด +89% Y-Y
- ล่าสุดประกาศรับงานผลิตชิ้นส่วน EV ให้ Vinfast กว่า 300 ลบ.และรับรู้รายได้ถึงปี 2025 เป็นสัญญาณบวกในแง่การปรับตัวให้สอดคล้องกับเทรนด์ EV ที่เติบโตระยะยาว เราคาดกำไรปี 2023 โตต่อเนื่องอีก +11% Y-Y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด 2023PER เพียง 6.6 เท่า และให้ Dividend Yield กว่า 5% ต่อปี
- แนวรับ 30//29-28.50 บาท แนวต้าน 31.50-32//33 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องอีก US$717 ล้าน ยังคงนำโดยไต้หวัน US$661 ล้าน แต่ไหลออกจากเกาหลีใต้บางๆ US$55 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินผสมผสาน ไหลออกบางๆในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ แต่ยังไหลเข้ากระจุกที่ไทยอีก US$128 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าแต่เบาบางลง โดยรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. ที่จะประกาศคืนวันพฤหัสฯ
ประเด็นสําคัญวันนี้
(-) ธนาคารโลกปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ โดยคาด GDP โลกปี 2023 จะเติบโตเพียง +1.7% ส่วนประเทศและภูมิภาคหลักอย่างสหรัฐฯ คาด +0.5% ยุโรป Flat ญี่ปุ่น +1% ขณะที่จีนแม้จะปรับคาดการณ์ลงเหลือ +4.3% แต่ดีขึ้นจากปี 2022 อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกเตือนว่าเศรษฐกิจโลกเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอยปีนี้ หลังธนาคารกลางทั่วโลกขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม โดยรวมตลาดไม่ได้ตอบรับเป็นลบ เนื่องจากสอดคล้องกับที่ตลาดประเมินไว้แล้วก่อนหน้า
(+) BGRIM เรามีมุมมองเชิงบวกต่อผลการดำเนินงานของ BGRIM มากขึ้นใน 4Q22 เป็นต้นไป จากการปรับขึ้นค่า FT ทั้งช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. 22 ที่ 0.6866 บาท/หน่วย และงวด ม.ค.- เม.ย. 23 อีก 0.6101 บาท/หน่วย หนุน Margin ฟื้นตัว เราคาดกำไรปกติ 4Q22 +531% Q-Q, -26% Y-Y และคาดเร่งตัวต่อเนื่องในปี 2023 ขณะที่แรงกดดันด้านต้นทุนลดลง จากราคา LNG ที่ปรับลงต่ำสุดในรอบ 9 เดือนหลังฤดูหนาวมีอุณหภูมิอุ่นกว่าคาด เราปรับเพิ่มประมาณการขึ้น สะท้อนราคาขายไฟที่สูงขึ้น และชดเชยต้นทุนก๊าซที่เพิ่มได้ คาดกำไรปกติปี 2022 ที่ 364 ลบ. และเร่งตัว +588% Y-Y ในปี 2023 ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 46 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) IPO ใหม่ NTSC เป็นผู้นำเข้า ผลิต จำหน่ายวัตถุดิบ สารปรุงแต่ง และวัตถุเจือปนในอาหาร โดยมีลูกค้าหลักคือผู้ผลิตอาหาร อาหารแปรรูป เครื่องปรุงรส เครื่องดื่ม อาหารสัตว์ เลี้ยงและสัตว์เศรษฐกิจ จุดแข็งค่าเป็นสินค้าจำเป็นและมีประสบการณ์ รวมถึง R&D กว่า 41 ปี ต้นทุนส่วนใหญ่คือวัตถุดิบและส่วนผสมต่างๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ แนวโน้มการเติบโตในปี 2023 คาดฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของลูกค้ากลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่กลับสู่ระดับปกติ เราคาดกำไรปี 2022 -15% Y-Y ก่อนฟื้นตัวแรง +48% Y-Y ในปี 2023 ส่วนเงินทุนจาก IPO จะนำมาขยายสายการผลิตส่วนผสมเพิ่ม และเครื่องผลิตสินค้า OEM ซึ่งจะเริ่มส่งผลบวกในปี 2024-2025 เราประเมินราคาเป้าหมาย 32 บาท แนะนำ “ซื้อ” (Finansia อาจเป็นผู้จัดจําหน่ายฯ)
(+) ตลาดดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 186.45 จุด หรือ +0.56% ปิดที่ 33,704.10 จุด หลังประธาน FED ไม่ได้ส่งสัญญาณที่บ่งชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ FED ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งล่าสุด ขณะที่ตลาดรอตัวเลข CPI ประจำเดือนธ.ค. ในวัน พฤหัสนี้
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ จากแรงเทขายทำกำไรหลังตลาดปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือนเมื่อวันจันทร์
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 33.56 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 75.12 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจาก EIA คาดการณ์ว่าปริมาณการใช้เชื้อเพลิงทั่วโลกมีแนวโน้มพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 ในขณะที่เช้านี้ปรับย่อตัวที่ระดับ 74.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.72%
(-) ราคาทองคำ COMEX ปิดลดลง 1.3 ดอลลาร์ หรือ 0.07% ปิดที่ 1,876.5 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 1,881.8 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.28%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 914.17 / -1.15