FPT แนะนำ ถือ ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท

คงแนะนำ ถือ ลดราคาเป้าหมายเหลือ 12.50 บาท

กําไรจากการดําเนินงาน/กําไรหลักงวด 9 เดือนสิ้นสุดกย.64 ลดลง 26%/30%YoY แต่กําไรสุทธิลดลงเพียง 5%YoY เป็น 1.43 พันล้านบาท เนื่องจากกําไรจากการขายสินทรัพย์ที่สูงขึ้น อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย/พาณิชยกรรมซบเซา ในขณะท่ีนิคมอุตสาหกรรมยังคงมีทรงตัว เราคงประมาณการกําไรทั้งปีไว้ท่ี 1.7 พันล้านบาท แต่ลด TP เหลือ 12.50 บาท (จาก 13.70 บาท) สะท้อนประมาณการมูลค่าประเมินที่ลดลงสําหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม/พาณิชยกรรม FTREIT น่าสนใจกว่าด้วยเป้าราคาท่ี 16.25 บาท

แนวโน้มไตรมาส 4/64

ธุรกิจที่อยู่อาศัยจะยังคงลดลง QoQ เนื่องจากกําลังซื้อของผู้ซื้อระดับกลางถึงล่างยังอ่อนแอ ทั้งยังมีการเปิดตัวใหม่เพียง 1 โครงการ และผลกระทบจากการปิดสถานที่ก่อสร้าง 1 เดือน ในเดือนกรกฎาคมเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ขณะท่ีอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์จะยังคงซบเซาจากการล็อกดาวน์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างไรก็ตาม กําไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมมูลค่า 800 ล้านบาท จะช่วยลดผลกระทบจากอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย/พาณิชยกรรม

ตัดงบลงทุน

สําหรับปี 64 FPT ลดเงินลงทุนลงเหลือประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จาก 1.2-1.3 หมื่นล้าน ซึ่ง 7- 8 พันล้านบาท สําหรับธุรกิจที่อยู่อาศัย 2 พันล้านบาทสําหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม 1 พันล้านบาทสําหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ และกํารลงทุนอื่นๆมูลค่า 400-500 ลบ. สําหรับปี 65 FPT คาดว่ารายจ่ายของบริษัทจะกลับสู่ภาวะปกติท่ี >1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 1 หมื่นล้านบาทสําหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย 3 พันล้านบาทสําหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม 2 พันล้านบาทสําหรับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการพาณิชย์ และ 700-800 ล้านบาทสําหรับการลงทุนอื่นๆ

ประมาณการกำไร

สําหรับปี 64-65 เราประมาณการการเติบโตของกําไรในช่วง 10-15% ต่อปี ความเสี่ยงหลัก ได้แก่ มูลค่ากําไรจากการขายสินทรัพย์เข้า FTREIT และการฟื้นตัวของธุรกิจท่ีอยู่อาศัย/พาณิชยกรรมภายหลังการเปิดเมืองที่ราคาปัจจุบัน มีการซื้อขายที่ระดับพรีเมียม 15 เท่า และ 13 เท่า สําหรับ P/E ปี 64 และ ปี 65 เนื่องจากบริษัทฯทําธุรกิจอสังหาท่ีหลากหลายต่างกับผู้ประกอบการอสังหาฯรายอื่น P/B อยู่ที่ 0.8 เท่าในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ >5% ต่อปี