บล.เอเซีย พลัส:

มองข้าม 4Q65 จะยังเป็นกําไรสุทธิบางๆ ต้องรอ 1Q66

คาดผลการดําเนินงาน 4Q65 ยังคงเป็นกําไรสุทธิราว 110 ล้านบาท ดีขึ้นจาก 12 ล้านบาท ในงวดก่อนหน้า หลักๆมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษสุทธิที่ลดลง ขณะที่กําไรจากการดําเนินงานปกติลดลง 4.1%qoq มาอยู่ราว 4.2 พันล้านบาท กดดันจากต้นทุนรวมที่เพิ่มขึ้นตามปกติของไตรมาส 4 และธุรกิจอื่นๆ ที่ให้ส่วนแบ่งกําไรลดลง แม้ค่าการกลั่นจะดีขึ้นก็ตาม ส่วนทิศทางกําไรปกติ 1Q65 คาดจะทรงตัว QoQ ตามค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาส 1 หลังหมดฤดูหนาว ขณะที่ส่วนแบ่งกําไรจากอะโรเมติกส์และน้ํามันหล่อลื่นจะทรงตัว แต่จะได้ต้นทุนรวมที่ลดลง กลับสู่ภาวะปกติมาช่วยหนุนไว้ โดยภาพกําไรปกติทั้งปี 2566 ลดลง YoY

ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2566 อิง DCF อยู่ที่ 63 บาทต่อหุ้น แนะนําซื้อ แต่ให้หาจังหวะทยอยสะสม เนื่องจากราคาหุ้นในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาขึ้นแรงและเร็ว อาจมีการพักฐาน โดยอิงกําไรปกติที่ยังอยู่ในระดับที่ดีในงวด 4Q65 และต่อเนื่องใน 1Q66 รวมถึงชูปันผลสูง โดยคาด dividend yield เฉลี่ยต่อปีสูงราว 5-6%

คาดงวด 4Q65 ยังเป็นกำไรสุทธิบางๆ ต่อราว 110 ล้านบาท ขณะที่ NORM PROFIT ลดลงเล็กน้อย 4.1%QoQ

ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ผลการดำเนินงานงวด 4Q65 ยังคงเป็นกำไรสุทธิราว 110 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากงวดก่อนหน้าที่เป็นกำไรสุทธิ 12 ล้านบาท หนุนจากรายการพิเศษในงวดนี้ที่สุทธิเป็นผลขาดทุนลดลงเหลือ 4.1 จาก 4.4 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า หลักๆ เป็นผลมาจากการบันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันรวม NRV ลดลงเหลือ 6.3 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าขาดทุนฯ 9.0 พันล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบ ณ สิ้นงวด 4Q65 ที่ลดลงจากสิ้นงวด 3Q65 ราว 14 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับงวดก่อนหน้าที่ลดลงถึง 23 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล (เดือน มิ.ย. ปิดเฉลี่ยราว 113 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ เดือน ก.ย. ปิดเฉลี่ย 91 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล และเดือน ธ.ค. ปิดเฉลี่ยที่ 77 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล) อีกทั้งในงวด 4Q65 บันทึกกลับเป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนราว 2.4 พันล้านบาท จากงวดก่อนหน้าบันทึกเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1.7 พันล้านบาท ตามค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นราว 3.4 บาทต่อเหรียญฯ (ค่าเงินบาทปิด 4Q65 เฉลี่ย 34.7 บาทต่อเหรียญฯ เทียบกับ 3Q65 เฉลี่ย 38.1 บาทต่อเหรียญฯ) แต่อย่างไรก็ตาม ในงวด 4Q65 จะถูกกดดันจากการบันทึกกลับเป็นขาดทุนจาก hedging ราว 1.2 พันล้านบาท เทียบกับงวดก่อนหน้าที่บันทึกเป็นกำไรจาก Hedging 4.9 พันล้านบาท

แต่หากตัดรายการพิเศษ พิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานปกติในงวด 4Q65 คาดจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย 4.1%qoq มาอยู่ราว 4.2 พันล้านบาท ถูกกดดันจากในส่วนของธุรกิจอื่นที่มีการบันทึกกำไรลดลง เนื่องจากหลังจากลดสัดส่วนการถือหุ้น GPSC จาก 20.78% เหลือ 10.0% จะเปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีเป็นเงินปันผลรับ ทำให้ส่วนแบ่งกำไรจาก GPSC หายไป อีกทั้งในส่วนของการเข้าลงทุน CAP ยังเผชิญกับผลขาดทุนอยู่ตามภาวะอุตสาหกรรมโอเลฟินส์ เบื้องต้นคาดจะยังคงขาดทุนใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้าที่ราว 300 ล้านบาท (TOP ถือหุ้น 15%)

ขณะที่ธุรกิจหลักในงวดนี้ดีขึ้นเล็กน้อยจากงวดก่อนหน้า หลักๆ เป็นผลมาจากธุรกิจโรงกลั่นที่มีผลการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้า โดยคาดค่าการกลั่น (Market GRM) ในงวด 4Q65 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 9.0 จาก 6.7 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ตาม crude premium ในงวด 4Q65 ที่ปรับตัวลดลงจากงวด 3Q65 ราว 3.5 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ราว 7.0 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง อีก ทั้งได้รับอานิสงค์จาก product spread ของน้ำมันสำเร็จรูปกลุ่ม middle distillate (ดีเซล+เจ็ท) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล ซึ่งสามารถช่วยหักล้าง spread ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปกลุ่มก๊าซโซลีน และน้ำมันเตาที่ปรับตัวลดลง ขณะที่คาดอัตราเดินเครื่อง utilization rate ของโรงกลั่นในงวด 4Q65 น่าจะทรงตัวได้ใกล้เคียงกับงวดก่อนหน้าที่ 104% ถึงแม้จะมีแผนหยุดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่น CDU2 กำลังการผลิต 5.0 หมื่นบาร์เรลต่อวัน เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ ก็ตาม

นอกจากนี้ยังได้รับผลบวกจากผลการดำเนินงานของธุรกิจอะโรเมติกส์และ LAB (TPX) ในงวด 4Q65 ที่คาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 0.8 จาก 0.2 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล โดยได้ในส่วนของธุรกิจอะโรเมติกส์ที่เห็นการฟื้นตัวพลิกกลับมามีกำไรราว 0.2 จากงวดก่อนหน้าที่เผชิญกับผลขาดทุน 0.4 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ตาม spread ผลิตภัณฑ์ทั้ง Px และ Bz ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 177.6 และ 106.5 เหรียญฯ ต่อตัน จาก 151.8 และ 69.7 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า อีกทั้งธุรกิจ LAB ยังมีส่วนแบ่งกำไรอยู่ราว 0.6 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ช่วยหนุนไว้ ขณะที่ Utilization rate ดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ราว 75% จาก 70% ในงวดก่อนหน้า

แต่อย่างไรก็ตาม ในงวด 4Q65 ถูกกดดันจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น (TLB) ที่ส่วนแบ่งกำไรลดลงมาอยู่ราว 1.2 จาก 1.9 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า จากแผนหยุดซ่อมบำรุงโรงงานราว 1 เดือน ส่งผลให้ Utilization rate ลดลงมาอยู่ราว 60% จาก 86% ในงวดก่อนหน้า รวมถึง spread น้ำมันหล่อลื่น 500SN (สัดส่วน 25%) ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 780.1 จาก 798.0 เหรียญฯ ต่อตัน ในงวดก่อนหน้า ถึงแม้ spread บิทูเมน (สัดส่วน 40%) จะดีขึ้นมาอยู่ที่ 146.2 จาก 94.3 เหรียญฯต่อบาร์เรล ก็ตาม

โดยรวมแล้วคาด Market GIM (Gross Integrated Margin) ในงวด 4Q65 จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ราว 11.0 จาก 8.8 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า แต่ถูกดดันจากต้นทุนรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลที่โดยปกติแล้วต้นทุนในไตรมาส 4 จะสูงกว่าในงวดอื่นๆ ของปีมาเฉลี่ยอยู่ราว 5.5 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จาก 4-4.5 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในไตรมาสอื่นๆ ของปี ทำให้กำไรปกติไม่ได้โดดเด่นมากนักในงวด 4Q65 นี้

โดยรวมแล้วคาดกำไรปกติ และกำไรสุทธิปี 2565 จะอยู่ราว 2.8 และ 3.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 425.4%yoy และ 159.4%yoy ใกล้เคียงกับที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้

ทิศทางกำไรปกติ 2566 อ่อนตัว YOY ค่อยๆ กลับสู่ภาวะปกติ…แนวโน้มกําไรปกติ 4Q65 ทรงตัว QoQ

ฝ่ายวิจัยคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติทั้งปี 2566 จะปรับตัวลดลง 51.7%yoy มาอยู่ราว 1.3 หมื่นล้านบาท ภายใต้สมมติฐานค่าการกลั่น 6.5 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับในปี 2565 ที่ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ราว 11.8 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล สะท้อนสถานการณ์ demand และ supply ที่ปรับเข้าสู่ภาวะสมดุลมากขึ้น ค่อยๆ ทยอยเข้าสู่ภาวะปกติ ภายใต้ผลกระทบจากเหตุการณ์รัสเซีย และยูเครนยังมีอยู่ แต่คลี่คลายเชิงบวกมากขึ้น ประกอบกับยังมีโรงกลั่นใหม่ที่มีแผน COD ในช่วง 2H65 ทั้งในจีน มาเลเซีย และอินเดีย กำลังการผลิต 700, 300 และ 100 พันบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ รวมกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคาดจะเดินเครื่องผลิตเต็มกำลังมากขึ้นในปี 2566 รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ให้น้ำหนักกับความกังวลในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันความ ต้องการใช้สินค้า commodity โดยเฉพาะน้ำมัน ทำให้คาด upside และ downside ของราคาน้ำมันดิบและสำเร็จรูปในปี 2566 น่าจะอยู่ในกรอบจำกัดมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม โรงกลั่น TOP ในปี 2566 คาดอัตราการเดินเครื่องโรงกลั่นจะเต็มกำลัง ไม่มีแผน shutdown ที่ utilization rate ราว 110%

ขณะที่แนวโน้มธุรกิจอะโรเมติกส์ในปี 2566 คาดจะยังไม่สดใส โดยได้รับแรงกดดันจาก supply ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมีนัยฯ ตั้งแต่ช่วง 2H65 ต่อเนื่องในปี 2566 ทั้งพาราไซลีน และเบนซีน ราว 8.8 ล้านตัน และ 3.4 ล้านตัน ตามลำดับ ขณะที่อัตราการเติบโตของความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์จะอยู่ราว 1-2 ล้านตัน ดังนั้นในปี 2566 สถานการณ์ตลาดอะโรเมติกส์น่าจะอยู่ในภาวะ Oversupply กดดันราคา และ spread ผลิตภัณฑ์ ส่วนทิศทางธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นในปี 2566 คาดจะทรงตัวใกล้เคียงกับในปี 2565

ทั้งนี้ในช่วงสั้นคาดแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติ 1Q66 ทรงตัวใกล้เคียงกับงวด 4Q65 โดยคาดสถานการณ์ค่าการกลั่นจะปรับตัวลดลงในช่วงปลายไตรมาส 1 หลังจากความหนาวเย็นเริ่มลดลง เช่นเดียวกับธุรกิจอะโรเมติกส์และหล่อลื่นน่าจะประคองตัวต่อ โดยอานิสงค์จากจีนเปิดประเทศต้องลุ้นใน 2Q66 ว่าจะเห็นการเติบโตของความต้องการใช้ภายใต้เศรษฐกิจ recession หรือไม่ แต่จะได้ในส่วนของต้นทุนรวมที่คาดจะปรับตัวลดลง หลังจากไตรมาส 4 จะอยู่สูงผิดปกติของปี

ส่วนของรายการพิเศษอื่นๆ ในงวด 1Q66 หากราคาปิดน้ำมันดิบดูไบช่วงสิ้นงวด 4Q65 อยู่เหนือ 77 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จะบันทึกกลับเป็นกำไรจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งหากพิจารณาราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันที่ราว 75-80 เหรียญฯต่อบาร์เรล คาดในงวด 1Q66 ผลกระทบจากการบันทึกกำไร/ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันจะไม่มาก เช่นเดียวกับในส่วนของ hedging ที่คาดมีโอกาสที่จะบันทึกขาดทุน/กำไรจาก hedging ไม่มากนัก

การดำเนินการด้าน ESG ของ TOP

ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment): ยกระดับการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับทิศทางของโลก โดยกำหนดกลยุทธ์หลัก ได้แก่

    • มุ่งสู่การเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Greenhouse Gas (GHG) Emission) ภายในปี 2603 โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการดำเนินกิจกรรมดูดกลับ หรือดักจับปริมาณการปลดปล่อยเทียบเท่าปริมาณที่ยังคงเหลือในกระบวนการผลิตในชั้นบรรยากาศ รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่สนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว รักษาสัดส่วนรายได้จากธุรกิจและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยร้อยละ 25 ของรายได้สุทธิ ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป

ด้านสังคม (Social): สร้างความผูกพัน ควบคู่กับการสร้างคุณค่าต่อชุมชนและสังคม เพื่อเติบโตร่วมกันในระยะยาว โดยมีกลยุทธ์หลัก ได้แก่

    • การลงทุนเพื่อชุมชน (CSR for the Community) พัฒนาสาธรณูปโภค ยกระดับด้านสาธารณสุข จัดทำพื้นที่สีเขียว สวนสุขภาพเพื่อชุมชนเนื่องในการครบรอบ 60 ปี ไทยออยล์ และส่งเสริมอาชีพเพื่อชุมชน โดยมีการจัดทำการประเมินความผูกพันกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียของบริษัทฯ โดยมีเป้าหมายรักษาความผูกพันของชุมชนมากกว่าร้อยละ 90
    • การลงทุนเพื่อสังคม (CSR for the Society) พัฒนาด้านสาธารณสุข ในโรงพยาบาลและสถานพยาบาล โดยการบริหารจัดการประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และสร้างต้นแบบการใช้พลังงานทดแทน ติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และต่อยอดไปสู่การพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ให้สอดคล้องการโครงการด้านธุรกิจของบริษัทในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทได้มีการกำหนดตัวชี้วัดด้วยการสร้างผลตอบแทนทางสังคม (Social Return on Investment : SROI) ไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของเงิน ลงทุนเชิงสังคมภายในปี 2573
    • การลงทุนด้านการแก้ปัญหาที่มีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน ผ่านการโครงการส่งเสริมอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเพิ่มพื้นที่ป่า และป่าชายเลน รวมถึงการสร้างระบบนิเวศให้สมดุลในชุมชนเพื่อสนับสนุนองค์กรไปสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในระยะยาว

บรรษัทภิบาล (Governance) : สร้างความเชื่อมั่นด้านบรรษัทภิบาล และความโปร่งใสภายในองค์กร พร้อมส่งเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยการประยุกต์ใช้หลักการ GRC (Governance, Risk, & Compliance) ผ่าน 3 หลักการ ได้แก่ 1) การแสดงออกของผู้บริหาร, 2) การสร้างระบบที่แข็งแกร่ง, 3) การรักษาสมดุลระหว่างการควบคุมกับประสิทธิภาพ โดยกำหนดดัชนีชี้วัดคือการปราศจากการฝ่าฝืนกฎหมาย และกฎ ระเบียบขององค์กร

ทั้งนี้ บริษัทได้มีการจัดทำคู่มือหลักการกำกับดูแลจรรยาบรรธุรกิจ โดยกำหนดให้คณะกรรมการและผู้บริหารต้องเป็นผู้นำ และตัวอย่างที่ดีในการปฏิบัติ รวมถึงจัดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริษัทเป็นประจำทุกปี ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตลอดจนกำหนดนโยบายให้มีการจัดทำการประเมินผลการประเมินผลการ ปฏิบัติงานของคณะกรรมการบริษัทฯ โดยผู้ประเมินอิสระทุก 3 ปี เพื่อนำความเห็นและข้อเสนอแนะมาปรับใช้ในบริษัทฯ ต่อไป

ประเด็นความเสี่ยง

  1. การหยุดฉุกเฉินของโรงกลั่นและโรงงานอะโรเมติกส์ รวมถึงโรงงานอื่นๆ ของ TOP (unplanned shutdown)
  2. ค่าการกลั่น Spread ผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ และ Spread ผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่น ไม่ได้เป็นไปตามสมมติฐานที่กําหนดไว้ ซึ่งอาจทําให้ประมาณการไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
  3. ประเด็นภัยแล้ง อาจนําไปสู่ปริมาณน้ําที่ไม่เพียงพอใช้ในโรงกลั่น และโรงงานปิโตรเคมี ในกรณีเลวร้ายสุด อาจทําให้ถึงขั้นต้องปรับลดกําลังการผลิต และหยุดผลิตลงในที่สุด
- Advertisement -