บล.เอเซีย พลัส:
กําไรงวด 4Q65 ยังโตได้แรง YOY
คาด SAPPE จะมีกำไรสุทธิใน 4Q65 ที่ 130 ล้านบาท (-27%QoQ, +134%YoY) โดยกําไรที่คาดชะลอลง QoQ เพราะคาดรายได้ลด (-22% QoQ) ในช่วง low season และมาร์จิ้นที่ชะลอลงเล็กน้อย แต่คาดกําไรจะโตแรง YoY จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น (+21%YoY) และมาร์จิ้นสูงขึ้นตามสัดส่วนการขายต่างประเทศที่มีมากขึ้น
กําไรทั้งปี 2565 มีแนวโน้มจะออกมาใกล้เคียงกับที่เราเคยคาดไว้ที่ 616 ล้านบาท (+50%YoY) ทําให้เรายังคงประมาณการกําไรปี 2566-2567 ไว้ตามเดิมที่ 786 ล้านบาท และ 1 พันล้านบาท ตามลําดับ โดยคงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 60.0 บาท (อิง PER 23.5 เท่า, +1 SD) และคงคําแนะนํา “ซื้อ” SAPPE จาก 1) ระยะสั้น คาดการเติบโตของกําไร 4Q65 ที่จะโตแรง YoY, 2) คาดกําไรปี 2566-2567 โตต่อได้ด้วยอัตราเฉลี่ยสูงถึง 28% และ 3) คาดหวังปันผลปี 2565 จูงใจที่ 3.4%
คาดกําไร 4Q65 ชะลอ QoQ ตามผลของฤดูกาล แต่ยังโตได้แรง YoY
คาด SAPPE จะมีกำไรสุทธิงวด 4Q65 ที่ 130 ล้านบาท (-27%QoQ, +134%YoY) โดยสาเหตุหลักที่ทำให้กําไรชะลอ QoQ คือ ผลของฤดูกาลที่ปกติแล้วไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นช่วง low season ของธุรกิจ เพราะเป็นช่วงฤดูหนาวที่มักจะมีการขายเครื่องดื่มน้ําผลไม้ต่ำกว่าไตรมาสอื่น จึงคาดยอดขายจะลดลงเหลือ 993 ล้านบาท (-22% QoQ) จากยอดขายที่จะชะลอลง โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศที่เป็นตลาดหลัก (-29% QoQ) ขณะที่คาดอัตรากําไรขั้นต้น (Gross margin) จะอยู่ที่ 40.7% ใกล้กับใน 3Q65 ซึ่งอยู่ที่ 40.9%
ทั้งนี้หากเทียบ YoY คาดกําไรงวด 4Q65 โตแรง เป็นเพราะ 1) คาดยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 21% YoY จากการเติบโตในตลาดต่างประเทศ ทั้งในเอเซียที่เป็นตลาดหลัก รวมทั้งยุโรป, 2) อัตรากําไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นตามการขายต่างประเทศที่สร้างมาร์จิ้นสูง โดยมีแนวโน้มจะมีสัดส่วนเพิ่มจาก 63% ของยอดขายในงวด 4Q64 เป็น 73% ใน 4Q65 และ 3) คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) จะลดเหลือ 27.4% จากเดิม 39.6% ใน 4Q64 เพราะคาดค่าจัดส่งสินค้าจะลดลงตามค่าระวางเรือที่ต่ำลง
แนวโน้มกําไรปี 2566 ยังดูสดใส
สําหรับแนวโน้มกําไรในปี 2566 คาดว่ากําไรจะเติบโตขึ้น YoY ได้ในทุกๆ ไตรมาส จากการเติบโตของยอดขายทั้งตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทมีแผนจะผลักดันการเติบโตของยอดขาย ดังนี้
- ตลาดในประเทศตั้งเป้าจะออกสินค้าใหม่ในระดับ 20SKUs/ปี ซึ่งเป็นระดับปกติก่อนช่วงโควิด และถือว่าสูงกว่าปีก่อนหน้าที่แทบจะไม่มีการออกสินค้าใหม่เลย โดยจะทยอยออกวางจําหน่ายตั้งแต่กลาง 1Q66 เป็นต้นไป รวมทั้งจะจับมือกับพันธมิตรเพื่อออกสินค้าใหม่ๆ นอกจากนี้จะเน้นช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น
- ตลาดต่างประเทศ จะขยายช่องทางการจัดจําหน่ายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรด จากเดิมที่ส่วนใหญ่ยังเป็นการขายผ่านช่องทางแบบดั้งเดิม
- เพิ่มกําลังการผลิตอีก 30% ด้วยการปรับเปลี่ยนสายการผลิตสินค้า โดยการผลิตสินค้าสําหรับขายในประเทศจะหันไปจ้างผลิตแทนการผลิตเอง เพื่อให้บริษัทมีกําลังผลิตเพิ่ม สําหรับสินค้าสําหรับขายต่างประเทศที่เป็นตลาดหลัก การอัพเกรดสายการผลิตเดิม รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในสายการผลิต
นอกจากนี้คาดแรงกดดันด้านต้นทุนในส่วนของบรรจุภัณฑ์ ซึ่งมีสัดส่วน 45% ของต้นทุนรวมจะลดลง หลังราคาเม็ดพลาสติกที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตขวดเริ่มมีแนวโน้มชะลอลงมาอยู่ในระดับต่ำ ตามราคาน้ํามันที่ลดลงตั้งแต่ช่วง 2H65
คงประมาณการกำไรปี 2566-2567 ตามเดิม คงคำแนะนํา “ซื้อ”
หากกำไรในงวด 4Q65 เป็นไปตามที่เราคาด จะทำให้กำไรสุทธิโดยรวมทั้งปี 2565 อยู่ที่ 628 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับที่เราเคยคาดการณ์ไว้ ทำให้เรายังคงประมาณการกำไร สำหรับปี 2566 – 2567 ไว้ตามเดิมที่ 786 ล้านบาท (+28% YoY) และ 1.0 พันล้านบาท (+28% YoY) ตามลำดับ โดยเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” SAPPE และคงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 60.00 บาท (คงการอิง PER ที่ 23.5 เท่า, +1 S.D) เนื่องจาก 1) มีปัจจัยบวก ระยะสั้น จากกำไรที่ออกมาโดดี YoY สำหรับใน 4Q65, 2) ภาพรวมกำไรในปี 2566 – 2567 มีศักยภาพเติบโตต่อไปด้วยอัตราเฉลี่ย 28% และ 3) คาดหวังปันผลได้ในอัตราที่สูง จูงใจ 3.4% สำหรับปี 2565
การดำเนินการด้าน ESG ของ SAPPE
Environment (E): บริษัทดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยได้ลงทุนกว่า 45.3 ล้านบาท ติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 4,263 แผง บนพื้นที่หลังคาโรงงาน 11,655.36 ตารางเมตร ซึ่งเป็นระบบ On Grid เชื่อมกับระบบจำหน่ายของการไฟฟ้า (ไม่ใช้แบตเตอรี่) กำลังการผลิต 2,408.595 kWp. ซึ่งใน 1 ปี หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ จะสามารถผลิต พลังงานไฟฟ้าได้สูงสุด 2,940,869 kWh ช่วยลดค่าไฟฟ้ากว่า 10.8 ล้านบาท และที่สำคัญยังช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตของโรงไฟฟ้ามากถึง 1.6 ล้านกิโลกรัม หรือเทียบเท่ากับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้ใหญ่มากถึง 34,408 ต้น เสมือนปลูกป่าได้ 172 ไร่ต่อปี
Social Contribution(S): บริษัทมีแนวคิดที่ว่าพนักงานคือ “Sappe players’ โดยทุกคนพร้อมที่จะสนุกไปด้วยกัน จากการเปิดกว้างต้อนรับคนรุ่นใหม่ที่หลากหลายทุกเพศ ไม่ว่าจะเป็น หนุ่ม สาว LGBT ทุกเชื้อชาติ ศาสนา เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดเวลา ภายใต้รูปแบบการทำงานที่เน้นความสนุกและยืดหยุ่นสูง แต่เต็มไปด้วยมุ่งหวังความสำเร็จสูงสุด ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมายังมีการ ระบาดของโควิด ทำให้บริษัทดูแลพนักงานทั้งที่ออฟฟิศและโรงงานทั้งหมด 564 คน ด้วยมาตรการป้องกันเต็มรูปแบบด้วยโควิด protocol ให้พนักงานได้รับวัคซีน และให้ Work From Home (WFH) ตั้งแต่การระบาดแรกๆของปี สนับสนุนการทำางานทางไกลด้วยเทคโนโลยีต่างๆ และระบบปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยให้พนักงานทำงานจากบ้านได้อย่างไม่สะดุดและมีความสุข ขณะที่ยังคงส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่พนักงาน ภายใต้หลักสูตรการอบรมทั้งภายในและภายนอก รวมทั้ง Lunch & Learn เป็นจำนวน 91 ครั้ง
ส่วนด้านชุมชนและสังคม ปณิธานของบริษัท คือ “เราจะทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น ผ่านจิตวิญญานที่สร้างสรรค์ของเรา” นอกจากการตั้งใจผลิตสินค้านวัตกรรมคุณภาพ ออกมาช่วยให้สุขภาพของผู้บริโภคดีขึ้นแล้ว เรายังมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่สามารถช่วยให้ผู้คนรอบตัวเรามีคุณภาพชีวิตดีขึ้นด้วย ทั้งพนักงาน ชุมชน พันธมิตรต่างๆ รวมทั้งสังคม ซึ่งกำลังเผชิญกับความยากลำบากเพราะการแพร่ระบาดของโควิด ซึ่งในปี 2564 ที่ผ่านมา ทีม CSR ของบริษัทลงพื้นที่ส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้โรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม อสม. ศูนย์พักคอย สถานีอนามัย ชุมชน มูลนิธิ และอาสากลุ่มต่างๆ ทุกสัปดาห์ โดยมีการสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของบริษัทกว่า 700,000 ขวด มูลค่า 14 ล้านบาท จัดถุงยังชีพอีก 1,000 ชุด ส่งตรงมอบให้คนไร้บ้านย่านถนนราชดำเนิน หัวลำโพง และคลองเตย นอกจากนี้บริษัทยังมอบสินค้า นวัตกรรมใหม่ SAPPE X TAKABB เครื่องดื่มสมุนไพรแบบขวดช็อต อุดมไปด้วยสมุนไพรที่ช่วยบรรเทาอาการระคายคอผู้ป่วย ที่มีอาการไอ ลดการระคายคอให้ทุกคนดีขึ้น จำนวน 60,000 ขวด มูลค่า 1.74 ล้านบาท รวมทั้งมอบผ้าอนามัยและผลิตภัณฑ์รูบี้ เลดี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโควิดผู้หญิง ที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสนามธรรมศาสตร์ โรงพยาบาล องค์รักษ์ และมอบผ่านองค์กรอาสา คือ ต้องรอด และองค์กรทำดี รวมมูลค่า 200,000 บาท เพื่อช่วยผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิง และได้มอบอุปกรณ์การแพทย์ให้แก่ 7 โรงพยาบาล รอบโรงงาน ครอบคลุม 3 จังหวัด โดยพื้นที่ จังหวัดปทุมธานี นครนายก และฉะเชิงเทรา ได้แก่ โรงพยาบาลลำลูกกา, โรงพยาบาลส่งเสริมสุข ภาพตำบลพืชอุดม, โรงพยาบาลส่งเสริม สุขภาพ ตำบลบึงคอไห 2, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลบ้านลาดช้าง, โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพ ตำบลบ้านทำนบ, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลบ้านปากคลอง 22 และโรงพยาบาลส่ง เสริมสุขภาพตำบลเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี
Governance (G): บริษัทดำเนินธุรกิจตามหลัก 8 ข้อ ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ดังนี้ 1) ประกอบกิจการด้วยความเป็นธรรม 2) ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น 3) เคารพสิทธิมนุษยชน 4) ปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม 5) รับผิดชอบต่อผู้บริโภค 6) ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม 7) ร่วมพัฒนาชุมชนหรือสังคม และ 8) มี นวัตกรรมและเผยแพร่นวัตกรรมซึ่งได้จากการดำเนินงานที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้เสีย
ความเสี่ยง
1) การแข่งขันที่รุนแรง
2) ความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกที่มีราคาผันผวนขึ้นอยู่กับราคาน้ํามัน
3) ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน