บล.ดีบีเอส ชูหุ้นไทยเด่นยกเป้าดัชนีปีนี้ 1760 จุด รับท่องเที่ยวทะลักเงินเลือกตั้งสะพัดทุนนอกไหลเข้า

@ชูธีมเด่นกลุ่มท่องเที่ยวอุตสาหกรรมเอี่ยวอีอีซี ยกหุ้น AOT, CPN, BTS, WHA, AMATA, ROJNA

บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส จัดสัมมนาหัวข้อ “กลยุทธ์รุก รับ จับจังหวะปีกระต่ายทอง” ให้เป้าดัชนีปี2023  อยู่ที่  1760 จุด  ให้น้ำหนักตลาดหุ้นไทย Overweight  เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค  ได้รับแรงส่งจากภาคการท่องเที่ยว-การบริโภคเอกชนแถมยังมีเงินสะพัดจากการเลือกตั้ง และเงินทุนต่างชาติจ่อไหลเข้าต่อเนื่อง  ยกธีมเด่นกลุ่มท่องเที่ยวอุตสาหกรรมรับอีอีซี  ชูหุ้น AOT, CPN ,BTS, WHA, AMATA, ROJNA ส่วนหุ้นต่างชาติมองหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน น่าสนใจกว่ายุโรป ขณะที่เตือนความเสี่ยง ส่งออกร่วง, ค่าเงินผันผวน, การเมืองระหว่างประเทศ

นายธนวัฒน์ ปัจฉิมกุล ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนต่างประเทศ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนา DBSV Quarterly Review Q1/23 หัวข้อ” กลยุทธ์รุก รับ จับจังหวะ ปีกระต่ายทอง” ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2023 จะชะลอตัวลงโดยคาดเติบโตเหลือ 2.1% จากปี 2022 ที่เติบโต 3.3%

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ คาดเฟดชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ย ประเมินขึ้นไปสูงสุดในไตรมาสแรกปีนี้ที่ 5.0% (ปัจจุบัน 4.5%) เหตุความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่ถึงเวลาลดดอกเบี้ย “ต้องยอมรับว่าปี 2022 ผิดปกติ ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ ที่ปรับตัวลดลงพร้อมกัน จึงแนะนำให้ใช้เวลานี้ปรับพอร์ตลงทุน โดยเพิ่มน้ำหนักตราสารหนี้เป็น 40% และพอร์ตหุ้น  60%  ขอบตราสารหนี้ระดับ investment grade ทำให้ yield เกิน 5% “นายธนวัฒน์กล่าว

อย่างไรก็ตามในปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นปรับลงสะท้อนกำไรที่ลดลงไประดับหนึ่งแล้ว แนะลงทุนหุ้นบริษัทที่มีจุดแข็งในอุตสาหกรรมตนเองและมีการปรับตัวได้ในโลกยุคใหม่ โดยทางดีบีเอสชอบหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่นมากกว่าหุ้นยุโรป ส่วนหุ้นจีนน่าสนใจจากแนวนโยบายผ่อนคลายการคุมโควิด-19 และแนวโน้มการเปิดประเทศในปี 2023

สำหรับธีมหุ้นเด่นน่าลงทุนปีนี้ บล.ดีบีเอส ยกหุ้นความปลอดภัยทางไซเบอร์ เป็นหนึ่งในธีมการลงทุนระยะยาว ในยุคโลกดิจิทัล เนื่องจากข้อมูลต่างๆที่มีความสำคัญต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์เพราะการจัดเก็บข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตเพิ่ม เช่น การใช้ระบบ cloud, Internet of Things (IOT), การทำงานนอกสำนักงาน, การให้บริการผ่านมือถือ/tablets

ด้านนางสาวอาภาภรณ์  แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้  มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 3.7% ในปี 2023 และขยายตัว  3.9 % ในปี 2024  จากแรงส่งภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคเอกชน  ซึ่ง DBS Group Research คาดการณ์รายได้การท่องเที่ยวปีนี้อยู่ที่ 1.26 ล้านล้านบาท  มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 23 ล้านคน เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2022 โดยมีนักท่องเที่ยวจีน เป็น Key growth

ทั้งนี้รายได้จากการท่องเที่ยวโดยตรงคิดเป็น 7-8 % ของจีดีพี  แต่หากรวมกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องด้วยจะมีรายได้ประมาณ 20% ของจีดีพี   ขณะที่การบริโภคได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคแรงงาน มาตรการด้านภาษีที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้ เงินสะพัดจากการหาเสียงเลือกตั้ง  ส่วนเงินเฟ้อ มองว่าได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น DBS Group Research  ให้เป้าหมาย SET ในปี 2023  อยู่ที่ 1760 จุด   โดยให้น้ำหนัก Overweight  ตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023  เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค  ปัจจัยบวกสนับสนุนคือ 1.  การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง  ซึ่งคิดเป็นประมาณ 20% ของจีดีพี  ประกอบกับมาตรการด้านภาษีที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสแรก 2. เงินสะพัด

จากการหาเสียงเลือกตั้ง ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย  3. หุ้น DELTA  ถูกนำมาคำนวณใน SET 50  และ SET 100 (การเปลี่ยนแปลงของหุ้น  DELTA ทุก ๆ10 บาท  ทำให้ SET เปลี่ยนแปลงประมาณ 1 จุด และ SET50 เปลี่ยนแปลง 0.93 จุด 4.เงินทุนต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทย  จากปี 2022 ที่มีเงินทุนไหลเข้าสุทธิเกือบ 2 แสนล้านบาท  เนื่องจากสหรัฐฯมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย  และเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว

กลยุทธ์การลงทุนในปีนี้  ฝ่ายวิจัย แนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้น  4 ธีมเด่น ประกอบด้วย 1.กลุ่มท่องเที่ยวฟื้นตัว   2.กลุ่มที่ได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเลือกตั้ง 3. กลุ่มยานยนต์ EV และ 4. หุ้นปันผลสูง-หุ้น Value Play

ส่วนปัจจัยเสี่ยงจะมาจาก การส่งออกที่ชะลอตัว  ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เอ็นพีแอล ลูกค้ารายย่อยมีแนวโน้มสูงขึ้น ผลกระทบเก็บภาษีขายหุ้น และการแกว่งตัวของราคาหุ้น DELTA

ด้านนายสมบัติ  เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวถึง อุตสาหกรรมที่สามารถฝ่าด่านเศรษฐกิจโลกชะลอตัว  ในขณะที่ไทยได้ปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยว และจีนเปิดประเทศ  ส่งผลให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและขนส่ง ได้รับปัจจัยบวกโดยตรง โดยเฉพาะ   AOT คาดการณ์กำไรปี 2023-2024  ฟื้นตัวสูง  จากผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น จากการเลิกให้ส่วนลดคู่ค้า ขณะที่การขยายความสามารถให้บริการเป็นไปตามแผน ส่วน CPN ได้ปัจจัยบวกจากการลดและยกเลิกค่าเช่าให้กับร้านค้า, มีแผนเปิดมอลล์เพิ่ม 5 แห่ง ในปี 2023-2024 ด้าน BTS กำไรครึ่งหลังปีนี้ฟื้นตัวดี   รายได้จะเพิ่มขึ้น จากรถสายสีชมพู และ สายสีเหลือง เริ่มให้บริการ

ส่วนกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม  ต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเพิ่มในเขต EEC หลังทั่วโลกเปิดประเทศ น่าจะมีการซื้อที่ดิน/โรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น หุ้นเด่นคือ AMATA, ROJNA , WHA ขณะที่ราคาก๊าซที่ลดลง ก็ทำให้ธุรกิจไฟฟ้าฟื้นตัวดีขึ้น

กลุ่มที่อยู่อาศัย หุ้น Top Picks คือ AP และ LH โดย LH คาดกำไรปี 2023 เป็น 8.6 พันล้านบาท +24% y-o-y  จากธุรกิจเช่าที่ และบริษัทร่วมฟื้นตัว เปิดขายโครงการใหม่  มีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์

สำหรับอุตสาหกรรมสื่อสาร หุ้นเด่น ADVANC มีความเข้มแข็งด้านการเงิน ตั้งเป้าซื้อ JASIF และ TTTB ธุรกิจกระเตื้องจากการยกเลิกแพ็คเกจราคาถูก ด้านอุตสาหกรรมพาณิชย์  ฟื้นตัวในระดับปานกลาง  ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีจากภาครัฐออกมาตรการช็อปดีมีคืน  เพิ่มยอดขายให้ BJC, COM7, CPALL และ HMPRO

อุตสาหกรรมการแพทย์  แนะนำ  EKH แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2023  ดี จากคนไข้เพิ่ม  มีกำไรจากถือหุ้น KLINIQ, ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีการเปิดประมูลโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่, รถไฟทางคู่ และงานภาคเอกชนเพิ่มขึ้น  แนะนำหุ้นเด่นคือ STEC  ได้รับปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง มี Backlog สูงกว่า 1แสนล้านบาท กำไรมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น

ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า แนวโน้ม SET50 ระยะสั้นยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น หากยังบวกการพักฐานต้องไม่หลุดต่ำกว่า 998-995 จึงจะยังเป็นการแกว่งตัวขึ้น มีแนวต้านหลักที่แข็งอยู่ที่บริเวณ 1025/1040-1050 เป็นระดับที่มีนัยสำคัญ เชิงกราฟแนวรับ 998-995 อย่าให้หลุด หลุดที่ 1016 จะเป็นจุดสูงสุดจบรอบขึ้น เชิงปัจจัยภายใต้ตลาดรับรู้เงินเฟ้อที่พีคมาต่อเนื่อง แต่คาดการณ์ดอกเบี้ยสูงสุดที่ 5%

ส่วนทองคำ ปีนี้ยังมีโอกาสที่จะเป็นปีของทองคำ หากเศรษฐกิจชะลอตัวลงและเฟดหยุดขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่เงินบาทแข็งค่ามาถึงแนวรับสำคัญที่ 32.5/32 มีโอกาสหยุดไหลหรือดีดกลับได้สูง แต่หากดีดกลับยังไม่สามารถยืนเหนือ 34.5-34.6 /35.2 ยังเป็นเพียงการรีบาวด์แล้วแข็งค่าต่อได้

ขณะที่นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส  กล่าวถึงมุมมองทางเทคนิคว่า ภาพระยะกลาง ดัชนียังอยู่ใน“ทิศทางขาลง” {จนกว่าจะยืนเหนือ 1750 จุด (“ยืน”นะ, ไม่ใช่แค่“แตะ”)} ดังนั้นการปรับขึ้นใดๆ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นการ“รีบาวด์ฯในโครงสร้างใหญ่”เท่านั้น

ส่วนระยะสั้น แม้ทิศทางจะดูดี หรือมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นหรือรีบาวด์ฯต่อได้  แต่เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา SET ก็มีการปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก {ตัวบอกก็คือ“สภาวะ Overbought” บวกกับการติดหรือใกล้ติด“แนวต้านสำคัญที่ระดับ 1700 – 1720 จุด”} ทำให้ ดัชนีแม้จะมีโน้มแนวปรับขึ้นต่อได้ แต่ก็น่าจะทำภาพตลาดฯในไตรมาส 1/2566 นี้ มีลักษณะ“ย่อ”เพื่อสร้างฐาน ก่อนจะไปต่อ (ที่ 1750+/-) ต่อไป {แต่ทั้งนี้ ในจังหวะที่“ย่อตัว” SET ก็ไม่ควรจะหลุดระดับ 1650 }

กลยุทธ์การเก็งกำไร กรณีดัชนีสูงกว่า 1680  จุด ให้เน้น“ซื้อค่าบวก” เพื่อลุ้น/รอขาย ที่แนวต้าน 1700 – 1720 จุด ส่วนกรณีต่ำกว่า 1680  จุด ให้เน้น“ซื้ออ่อนตัว” โดยเฉพาะกับตำแหน่ง 1650+/-  เพื่อลุ้น/รอขาย เมื่อตลาดฯมีการรีบาวด์ฯตามมา {ซึ่งก็น่าจะลุ้นแนวต้านที่ระดับ 1700 – 1720 (หรือ 1750) จุด,ได้ / (ผิดจากภาพนี้ไป หรือดัชนีฯอยู่ต่ำกว่า 1600 จุด ก็จะเป็นการอ่อนตัวลงแรงๆ หรือเปลี่ยนทิศทางเป็น “ขาลง”จริงได้)}

- Advertisement -