บล.บัวหลวง: 

Healthcare – กำไรไตรมาส 4/65 ; ผู้ป่วยต่างชาติฟื้นตัว (NEUTRAL)

กลุ่มโรงพยาบาลจะรายงานกำไรที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/65 (และ BCH จะกลับมาฟื้นตัว QoQ) เราชอบ BDMS และ BH มากที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติไปตลอดครึ่งแรกของปี 2566 และอาจมีอัพไซต์จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่ฟื้นตัว

แนวโน้มกําไรเติบโตแข็งแกร่งในไตรมาส 4/65

เราปรับเพิ่มประมาณการกำาไรหลักในปี 2565 ขึ้นอีก 9% สําหรับ BDMS และ 1% สําหรับ BCH เพื่อสะท้อนอุปสงค์ที่ฟื้นตัวของผู้ป่วยที่ไม่ใช่โควิด และการฟื้นตัวเต็มกำลังของธุรกิจผู้ป่วยต่างชาติ แต่เราปรับลดประมาณการกำไร ปี 2565 ของ CHG ลง 8% ประมาณการใหม่คาดกำไรหลักในไตรมาส 4/65 ของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่เราให้คําแนะนําที่ 5.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% QoQ (การฟื้นตัวของ BCH และการดำเนินงานของ CHG ที่ปกติ) แต่ลดลง 35% YoY ซึ่งเป็นสถิติใหม่ในไตรมาส 4/64 ที่ 7.76 พันล้านบาท (กําไรจากไวรัสเดลตา) อัตรากําไรหลักจะอยู่ที่ 15.5% ลดลง 610bps YoY (โดยทำสถิติจากไวรัสเดลต้าที่ 21.4% ในไตรมาส 4/64) แต่เพิ่มขึ้น 190bps YoY

เราคาดกำาไรหลักจะเติบโต 10% YoY สําหรับ BDMS (ลดลง 9% QoQ ตามฤดูกาลของผู้ป่วยชาวต่างชาติลดลง) และ 77% สําหรับ BH (ลดลง 21% QoQ ตามฤดูกาลของผู้ป่วยชาวต่างชาติลดลง) BCH จะรายงานกําไร ไตรมาส 4/65 ที่ 474 ล้านบาท ลดลง 81% YoY แต่พลิกกลับเป็นกําไร QoQ เราคาดกำไรของ CHG ในไตรมาสนี้จะอยู่ที่ 330 ล้านบาท ลดลง 82% YoY แต่เพิ่มขึ้น 28% QoQ

แนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 2566 สําหรับโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์

แนวโน้มกลุ่มโรงพยาบาลปี 2566 แตกต่างกันไปตามกลุ่มราคา เราแนะนำาชื้อ BDMS และ BH เราคาดการณ์เบื้องต้นในปี 2566 ว่ากําไรหลักรวมของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่เราให้คําแนะนําจะอยู่ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 9% YoY แต่แนวโน้มยังจํากัดเฉพาะหุ้นโรงพยาบาลระดับกลาง ได้แก่ BCH (1.9 พันล้านบาท ลดลง 39% YoY) และ CHG (1.4 พันล้านบาท ลดลง 49% YoY J. รายได้รวมกลุ่มโรงพยาบาลในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 1.37 หมื่นล้านบาท ลดลง 3% YoY เนื่องจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับรายได้มหาศาลของ BCH และ CHG ในครึ่ง แรกของปี 2565

ในทางตรงกันข้าม เราคาดกําไรฟื้นตัวเล็กน้อยที่ 3% สําหรับทั้ง BH และ BDMS ในปี 2566 หนุนโดย: 1) อุปสงค์ในการรักษาโรคที่ไม่ใช่โควิด (โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และโรคเรื้อรัง ฯลฯ) 2) ธุรกิจผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งจะเพิ่มขึ้น YoY ต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2566 และ 3) HealthTech (telemedicine, home care และการรักษาโดยเทคโนโลยีใหม่) แม้ว่า โรงพยาบาลที่เราให้คำแนะนำจะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลที่ สูงขึ้นในปี 2566 ผู้บริหารของทั้งสี่บริษัทมั่นใจว่าจะสามารถส่งต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้ป่วยได้ และไม่คาดหวังว่าราคาที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ธุรกิจหยุดชะงัก

มูลค่าหุ้น

เราชอบ BDMS และ BH มากกว่า BCH และ CHG ในระยะยาว แต่เมื่อพิจารณาจากภาพระยะสั้น ราคาหุ้นของ BCH มีแนวโน้มที่จะได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ของตลาดว่าจะมีการฟื้นตัว QoQ ในไตรมาส 4/65

- Advertisement -