บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +16.3%
Close Jan 23, 2023 Price (THB) 50.75
12M Target (THB) 59.00
Previous Target (THB) 53.00
What’s new?
- คาด 4Q65 จะขาดทุนสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ฟื้นตัว QoQ จากขาดทุนสต็อกน้ำมัน, Hedging, FX ลดลง อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการยังอยู่ระดับต่ำ ลดลง YoY จากกำไรปกติที่อ่อนแอ ลดลง QoQ ทุกธุรกิจจากแผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ และ Spread อะโรมาติก – โอเลฟิน ลดลง
- ปรับประมาณการปี 2565 เป็นขาดทุนสุทธิ 9.0 พันล้านบาท และปรับกำาไรปี 2565 ลง 19% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท
Our view
- Spread ปิโตรเคมี และผลประกอบการปี 2566 ยังอยู่ระดับต่ำ แต่เชื่อว่าปัจจัยทั้ง 2 ผ่านจุดต่ำสุดในปี 2565 ไปแล้ว คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะช่วยหนุน Spread ปิโตรเคมี ขณะที่ปัจจัยกดดันจากขาดทุน Hedging และปิดซ่อมบำรุงจะลดลง YoY
- หุ้น ซื้อ ขายบน PBV เพียง 0.7 เท่า (-1.50 SD)
- โมเม็นตัมกำลังเข้าสู่การฟื้นตัว จึงปรับราคาเหมาะสมเป็น 59.00 บาท คงคําแนะนำ “ซื้อ” เชิงกลยุทธ์อาจรอซื้อช่วงหุ้นอ่อนตัว หรือหลังรายงานงบ 4Q65
PTT GLOBAL CHEMICAL 4Q ยังอ่อนแอ แต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวจากจีน
4Q65 อ่อนแอ แต่ไม่แย่เท่า 3Q65
สำหรับ 4Q65 คาดผลประกอบการจะขาดทุนสุทธิที่ 1.2 พันล้านบาท ฟื้นตัว QoQ จากขาดทุนสูง 1.3 หมื่นล้านบาทใน 3Q65 เพราะปัจจัยกดดันจากขาดทุนสต็อกน้ำมัน, ขาดทุนป้องกันความเสี่ยง, ขาดทุน FX จะลดลง QoQ อย่างมีนัยสำคัญ ประเมินขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลงเหลือ 4.1 พันล้านบาท (เทียบกับ 8.1 พันล้านบาทใน 3Q65) และมีกำไร FX จากเงินบาทแข็งค่า 3.0 พันล้านบาท (เทียบกับขาดทุน 3.1 พันล้านบาท ใน 3Q65) อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการจะอ่อนแอลง YoY จากระดับกำไร 3.2 พันล้านบาทใน 4Q64 เพราะผลการดำเนินงานหลักลดลง QoQ และ YoY โดยหากเทียบกับ 3Q65 คาดกำไรปกติลดลง QoQ ทุกธุรกิจ เนื่องจาก 1) แผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่โรงกลั่น 50 วัน คาดอัตราการกลั่นลดลงเหลือ 60% 2) ธุรกิจปีโตรเคมีทั้งอะโรมาติกส์ – โอเลฟินส์ได้รับผลกระทบจากอุปสงค์อ่อนแอ ท่ามกลางอุปทานล้นตลาดจำนวนมาก กดดันให้ Spread PX และ BZ ลดลง 9% และ 41% ตามลำดับ นอกจากนี้ ราคา HDPE ยังปรับตัวลดลง 6% ตามราคาน้ำมัน และ Spread ที่ลดลงเหลือ US$361/ตัน (-7%) 3) ผลการดำเนินงานของ Allnex ลดลง 15% จากระดับปกติ (70 ล้านยูโร/ไตรมาส) ตามปัจจัยฤดูกาล และภาวะเศรษฐกิจในยุโรป 4) การรับรู้ผลประกอบการที่อ่อนแอของ HMC สอดคล้อง Spread PP ที่ลดลง
ปรับประมาณการสะท้อนความอ่อนแอ 4Q65
ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ลงเป็นขาดทุน 9.0 พันล้านบาท (เดิมขาดทุน 1.3 พันล้านบาท) โดยหลักมาจากการประเมินผลขาดทุนสต็อกน้ำมันที่ US$2.3/bbl หรือ 4.4 พันล้านบาท (เทียบกับเดิมคาดว่าจะกำไร US$1.5/bbl หรือ 2.8 พันล้านบาท) นอกจากนี้ เรายังเพิ่มความระมัดระวังในสมมติฐานปี 2566 โดยปรับกำาไรสุทธิลง 19% เป็น 1.8 หมื่นล้านบาท
Spread และผลประกอบการแตะจุดต่ำสุดแล้ว
แม้เรามองว่าปี 2566 ยังเป็นช่วงที่ Spread ปิโตรเคมีอยู่ภายใต้แรงกดดันจากภาวะอุปทานล้นตลาด และผลประกอบการจะอยู่ในระดับไม่สูง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า Spread ปิโตรเคมี และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดในปี 2565 ไปแล้ว คาด Spread ปิโตรเคมีปี 2566 จะฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ช่วยหนุนความต้องการใช้ปิโตรเคมีฟื้นตัว และทยอยดูดซับปริมาณอุปทานในตลาด ขณะที่คาดว่าผลประกอบการจะพลิกมาทำกำไรในปี 2566 เพราะปัจจัยลบในปี 2565 จะคลายตัวจากทั้งขาดทุน Hedging จำนวนมากไม่เกิดขึ้นซ้ำ, แผนปิดซ่อมบำรุงใหญ่ลดลง, ปริมาณการใช้วัตถุดิบจากก๊าซเพิ่มขึ้น
Valuation ไม่แพง คงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน”
เชิง Valuation ราคาหุ้นไม่แพง ปัจจุบันซื้อขายบน PBV ที่ 0.7 เท่า Discount จากค่าเฉลี่ยในอดีต -1.50 SD ถือว่าใกล้เคียงกับปี 2563 ที่เกิดการแพร่ระบาดรอบแรก ซึ่งซื้อขายบนค่าเฉลี่ย 0.7 เท่าเช่นกัน ทางพื้นฐาน จึงมองว่าราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้สะท้อนความอ่อนแอของผลประกอบการปีนี้ และ Spread ปิโตรเคมี ระดับ Low-end ของ Downcycle ไปแล้ว ขณะที่ปี 2566 คาดโมเมนตัมกำไรจะเริ่มเข้าสู่รอบการฟื้นตัว ปรับราคาเหมาะสมเป็น 59.00 บาท อ้างอิง PBV ที่ 0.9 เท่า (-1.0 SD) คงคำแนะนำ “ซื้อลงทุน”
เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนอาจทยอยเข้าซื้อช่วงหุ้นอ่อนตัว หรือหากรับความเสี่ยงได้น้อย อาจรอเข้าซื้อหลังผ่านการรายงานงบวันที่ 13 ก.พ.