เชื่อว่า Upside ตลาดหุ้นเริ่มจำกัด
กรอบ SET Index 1673-1687
Market Outlook
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานคำสั่งซื้อสินค้าจากโรงงานขยายตัวเพียง 1.8% MoM ต่ำกว่าตลาดประเมินไว้ที่ 2.3% MoM อย่างไร ก็ตาม ภาคแรงงานรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานเพียง 1.83 แสนราย และต่ำกว่าตลาดประเมินไว้ที่ 1.96 แสนราย (เป็นตัวเลขที่ดีกับเศรษฐกิจ) ส่วนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องอยู่ที่ 1.65 ล้านราย ต่ำกว่าตลาดประเมินไว้ที่ 1.68 ล้านราย ขณะที่เมื่อวาน ISM PMI ยังคงปรับลงต่อเนื่อง สะท้อนภาคผลิตในสหรัฐฯ ที่ย่ำแย่ ดังนั้นภาคแรงงานยังดูมีความเสี่ยงช่วงถัดไปจึงควรติดตามใกล้ชิด โดยเฉพาะตัวเลขของสหรัฐฯ ในคืนนี้ที่มีกำหนดการจะรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงาน Bloomberg ประเมินไว้ที่ 1.93 แสนรายและ 3.6% ตามลำดับ หากพิจารณาจากการรายงาน ADP เมื่อวันพุธก็อาจมีความเป็นไปได้ที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรจะต่ำกว่าที่ตลาดประเมินไว้ และหากอัตราการว่างงานเร่งตัวขึ้นจะเป็นสัญญาณชัดเจนว่าภาคแรงงานเริ่มได้รับผลกระทบ โดยที่เรายังคงมุมมองระมัดระวังกับตลาดหุ้นเช่นเดิม แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะดูผ่อนคลาย/เข้มงวดน้อยลง กับการดำเนินนโยบาย แต่ข้อมูลในอดีตชี้ชัดเจนว่าตลาดหุ้นมักเข้าใกล้จุดสูงสุดเมื่อดอกเบี้ยเข้าใกล้จุดสูงสุด และหากดอกเบี้ยเริ่มปรับลงตลาดหุ้นมักจะปรับลงด้วยเช่นกัน ขณะที่ตลาดหุ้นก็สะท้อนปัจจัยบวกต่างๆ ไปในราคาพอสมควรแล้ว ส่งผลให้ระดับ Valuation ของ SET ไม่ได้อยู่ในจุดที่ถูกมากนัก ในเชิงของ Earnings Yield Gap ลงมาซื้อขายในกรอบ -1SD ถึงค่าเฉลี่ย ส่วนเช้านี้ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เพียง (+0.3%) ดังนั้น SET INDEX วันนี้ก็น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1673-1687
เชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังแนะให้ถือครองเงินสดระดับสูง เนื่องจากหลายๆ ความเสี่ยงที่รออยู่ในช่วงถัดไป ส่วนหุ้นแนะนำยังเน้นที่กลุ่ม Defensive อาทิ กลุ่มโรงพยาบาล (BCH, BDMS, CHG) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH) รวมไปถึงกลุ่ม Domestic Play อาทิ กลุ่มค้าปลีก (BJC, HMPRO) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) สื่อนอกบ้าน (PLANB) หุ้นที่ได้ประโยชน์ราคาน้ำมันปรับลง (SCGP) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (CK, STEC) ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง กลุ่มการเงิน (MTC) ได้ประโยชน์เชิงจิตวิทยาจาก Bond Yield สหรัฐฯ ที่มีทิศทางปรับลง
หุ้นแนะนําซื้อวันนี้
MTC ราคาพื้นฐาน 43.00 บาท
คำแนะนำซื้อของเราสะท้อน (1) กำไรสุทธิที่โตอย่างมั่นคง ขึ้นในปี 2023-2024(2) การคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาอัตรากำไรระยะยาวเอาไว้ และ (3) มูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูด
RATCH ราคาพื้นฐาน 55.00 บาท
มองบวกต่อภาพรวมปี 2023 หนุนจากการใช้เงินที่ได้จากการเพิ่มทุน (แล้วเสร็จในไตรมาส 2/22) ไปกับการลงทุนใน โครงการ NEJV (1,500MW และดำเนินงานอยู่ 450M) และ โรงไฟฟ้าถ่านหิน Paiton ขนาด 930MWe ในอินโดนีเซีย ที่จะกระตุ้นให้กําลังการผลิตในการดำเนินงานของ RATCH เพิ่มขึ้น 16% จากปัจจุบันที่ 9.2MWe ซึ่งคาดว่าจะชดเชย Dilution ที่มีต่อ EPS ได้ทั้งหมด