บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง:
Thailand Healthcare – 4Q65 สถานการณ์โควิดเข้าสู่ภาวะปกติ
คงมุมมองเท่าตลาด เลือก CHG เป็นหุ้นเด่น
เราคงมุมมอง “เท่าตลาด” โดยมองว่าราคาหุ้นได้ตอบรับประเด็นแนวโน้มรายได้หลักที่ลดลงในไตรมาส 4/65 แล้ว (จากรายได้จากโควิดที่ลดลง) ทั้งนี้ เราเชื่อว่าผู้ประกอบการโรงพยาบาลทุกรายน่าจะมีรายได้ที่ลดลง QoQ เนื่องจากผลของฤดูกาล (ไตรมาส 3 มีผู้เจ็บป่วยจำนวนมากจากโรคที่มากับฤดูฝน) อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกำไรหลัก เราเชื่อว่า CHG และ BCH จะทำกำไรได้ดีขึ้น QoQ เนื่องจาก 1) CHG มีกำไรที่ต่ำในไตรมาส 3/65 เนื่องจากจ่ายโบนัสครั้งเดียว 80 ล้านบาท (ดูบทวิเคราะห์) และ 2) BCH มีการตัดจำหน่ายวัคซีน 1.5 พันลบ. ทำให้ขาดทุนในไตรมาส 3/65 ดังนั้น การที่ไตรมาส 4/65 กลับสู่ภาวะปกติน่าจะสะท้อนการกลับมาทำกำไรอีกครั้ง โดยคาดว่า BH (ดูบทวิเคราะห์) และ BDMS น่าจะมีกำไรลดลง QoQ เนื่องจากผลของฤดูกาล และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดหายไป เราเลือก CHG เป็น Top Pick ของเรา ในกลุ่มผู้ประกอบการโรงพยาบาล เนื่องจากแนวโน้มระยะยาวที่ดี โดยโรงพยาบาลทั้ง 9 แห่ง อยู่ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศไทย
รายได้ 4Q65 ลดลง QoQ เนื่องจากผลของฤดูกาล
ในแง่ของรายได้ เราคาดว่าผู้ประกอบการโรงพยาบาลทุกรายจะมีรายได้ลดลง QoQ จากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดที่ลดลง รวมถึงผลของฤดูกาล โดยในไตรมาสนี้ เราคาดว่ารายได้จากโควิตจะมีสัดส่วน 2-5% ของรายได้ เทียบกับ 4.2-17.3% ในไตรมาส 3/65 อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมรายได้จากโควิด เราเชื่อว่ามีเพียง BDMS เท่านั้นที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น QoQ (+7%) จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งอาจเติบโตประมาณ 20% QoQ ในไตรมาสนี้ สำหรับ BH เราเชื่อว่ารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติอาจเติบโตเล็กน้อย QoQ หรือประมาณ 2% QoQ เนื่องจากฐานที่สูงในไตรมาส 3/65 ซึ่งพบว่ารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติสูงกว่าระดับก่อนโควิดถึง 24%
คาดว่าจะไม่มีรายได้จากโควิดอีกต่อไปในปี 2566
เราคาดว่ารายได้จากโควิดจะหมดไปในปี 66 ดังนั้น กำไรของผู้ประกอบการโรงพยาบาลทั้งหมดจะลดลง ยกเว้น BDMS ที่จะยังคงทรงตัว YoY เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถชดเชยกับรายได้จากโควิดที่ลดลง ทั้งนี้ จากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายแล้ว เราจึงไม่สนใจประเด็นรายได้จากโควิดอีกต่อไป โดยเราเลือก CHG เป็น Top Pick เนื่องจากแนวโน้มระยะยาวที่ดีจากประชากรที่หนาแน่นในพื้นที่ EEC นอกจากนี้ เรายังชอบที่ราคาหุ้นอยู่ในจุดที่น่าสนใจ โดยซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่ 31.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 38.8 เท่า
ปัญหาเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อความต้องการด้านการรักษาพยาบาล
เราใช้วิธี DCF ในการประเมินราคาหุ้น เราชอบหุ้นกลุ่มดูแลสุขภาพของไทยที่มีแนวโน้มที่ดีในระยะยาว โดยได้แรงหนุนจากความต้องการจากประชากรผู้สูงในประเทศไทย ทั้งนี้ จากราคาหุ้นที่น่าสนใจ เราชอบ รพ.ประกันสังคมมากกว่า ได้แก่ CHG (ซื้อ) และ BCH (ถือ) โดยเราเชื่อว่า BH (ขาย) มีราคาสูงเกินไปแล้ว โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเชิงบวกในระยะสั้นจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ในขณะที่แนวโน้มระยะยาวอาจถูกจำกัดด้วยการดำเนินงานในโรงพยาบาลแห่งเดียว เราจึงแนะนำ “ขาย” แนะนำ “ถือ” BDMS เนื่องจากราคาหุ้นซื้อขายที่พรีเมียมที่ P/E ปี 66 ที่ 38.4 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 38.8 เท่า ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและจำนวนสมาชิกประกันสังคม ตลอดจนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์