บล.เอเซีย พลัส:
อร่อยอยู่นะ
แนวโน้มกําไรปกติ 4Q65 เท่ากับ 75 ล้านบาท (+4% QoQ,+72% YoY) หนุนด้วยยอดขายคาดขยายตัว (+8% QoQ, + 30% YoY) เพราะเข้าสู่ฤดูกาลจับจ่ายและการเดินทางช่วงปีใหม่ แม้ระยะถัดไปแนวโน้มต้นทุน (อาทิ ชีส) ยังสูงขึ้นจากการทยอยส่งผ่านราคาของ Supplier แต่ด้วยทิศทางราคาน้ํามันเร่ิมลดลง ซึ่งเร่ิมเห็น สัญญาณที่ดีขึ้น หลัง กบน. ลดราคาดีเซล 50 สตางค์ มาอยู่ที่ลิตรละ 34.50 บาท ตั้งแต่ 15 ก.พ. 66 ดีต่อค่าขนส่งของ NSL (สัดส่วน 4.8% ของยอดขาย) ขณะที่ยอดขายประเมินมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของกําลังซื้อในประเทศ ท้ังการเดินทางเข้ามาของนักท่องเท่ียวต่างชาติ ผสานกับการเลือกต้ังในปีนี้
คงแนะนํา ซื้อ ตามธีม Domestic Consumption และ Anti Commodities อีกทั้งแนวโน้มการเติบโตของกําไรปกติปี 2566 อยู่ที่ 22% YoY สูงกว่าการเติบโตของ EPS SET Index ปี 2566 ที่ตลาด (ณ 6 ก.พ. 66) ประเมินไว้บวก 12.7% YoY ในเชิง PER ซื้อขายราว 20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย SETFOOD ที่ 25
แนวโน้มกำไรปกติ 4Q65 เติบโต QoQ และ YOY
คาดกำไรปกติ 4Q65 เท่ากับ 75 ล้านบาท (+4% QoQ,+72% YoY) หนุนด้วยแนวโน้มยอดขายขยายตัวมาอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท (+8% QoQ, + 30% YoY) เพราะเข้าสู่ฤดูกาลจับจ่าย และการเดินทางช่วงปีใหม่ ชดเชย Gross Margin ที่มีทิศทางอ่อนตัว QoQ เหลือ 18.2% เทียบกับ 18.4% ในงวด 3Q65 จากต้นทุนวัตถุดิบที่ยังอยู่ในระดับสูง เป็นไปตามภาวะ Inflation อย่างไรก็ดี Gross Margin มีพัฒนาการดีขึ้น YoY จาก 16.8% ช่วง เดียวกันปีก่อน เหตุเพราะ Economies of scale
โดยรวมกรณีที่ 4Q65 เป็นไปตามคาดการณ์ จะทำให้กำไรปกติ 2565F อยู่ที่ 295 ล้านบาท แม้ต่ำกว่าประมาณการกำไรปกติตามสมมติฐานที่ 300 ล้านบาท แต่ไม่ได้มีนัยฯ กอปรกับยังเติบโตสูง 55% YoY ขับเคลื่อนด้วยคาดการณ์ยอดขายเพิ่มขึ้น 33% YoY เท่ากับ 4 พันล้านบาท และประเมิน Gross Margin อยู่ที่ 18.5% จาก 17.8% ในปี 2564 หนุนจากการประหยัดจากขนาด
ยอดขายมีหลายปัจจัยขับเคลื่อน … นํ้ามันลงดีต่อค่าขนส่ง
แนวโน้มต้นทุน (อาทิ ชีส) ยังสูงขึ้นจากการทยอยส่งผ่านราคาของ Supplier แต่ด้วยทิศทางราคาน้ำมันเริ่มลดลง ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น หลังช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นสพ. ในประเทศรายงาน กบน. ลดราคาดีเซล 50 สตางค์ (-1.4% จากเดิม) มาอยู่ที่ลิตรละ 34.50 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. 66 จาก 35 บาท/ลิตร (ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. 65) ซึ่งในทางตรง บวกต่อ NSL ที่ช่วง 9M65 มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเฉลี่ยราว 47 ล้านบาทต่อไตรมาส (บันทึกใน SG&A) หรือราว 4.8% ของยอดขาย ขณะที่ในทางอ้อมราคาน้ำมันที่ลดลง น่าจะทำให้ต้นทุนสินค้าประเภทอื่นๆ และค่าใช้จ่ายปรับตัวลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ในด้านยอดขาย จากการ Update กับบริษัทฯ ล่าสุดยังคงเป้าหมายยอดขายปี 2566 ที่ 4.7 พันล้านบาท สูงกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่ทำไว้อนุรักษ์นิยมกว่าที่ 4.5 พันล้านบาท (+ 11% YoY) โดยยอดขายมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ตามการเดินทางเข้าไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2566 รวมทั้งการเลือกตั้งที่จะเกิดช่วงกลางปีนี้ กอปรกับแผนการขยายสาขาของคู่ค้าหลักราว 700 สาขาต่อปี ผลักดันแนวโน้มยอดขายกลุ่มเบเกอรี่ (สัดส่วนราว 90% ของยอดขาย) ผสานกับกำลังซื้อที่สูงขึ้นตามที่กล่าวข้างต้น เอื้อต่อธุรกิจ Food service (สัดส่วนราว 7% ของยอดขาย) ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในกลุ่มร้านอาหาร นอกจากนี้แผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง ข้าวแท่ง, อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-Eat) ยังคงเดินหน้าต่อในปีนี้ หากประสบความสำเร็จจะช่วย กระจายโครงสร้างรายได้ธุรกิจในอนาคต ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาคู่ค้าหลักรายเดียว
ซื้อ … ตามธีม DOMESTIC / ANTI COMMODITIES PLAY
อิง PER ที่ 23 เท่า ให้ FV ปี 2566 ที่ 28 บาท คงแนะนำ ซื้อ ตามธีม Domestic Consumption และ Anti Commodities อีกทั้งแนวโน้มการเติบโตของกำไรปกติปี 2566 อยู่ที่ 22% YoY สูงกว่าการเติบโตของ EPS SET Index ปี 2566 ที่ค่าเฉลี่ย Bloomberg Consensus (ณ 6 ก.พ. 66) ประเมินไว้บวก 12.7% YoY ในเชิง Valuation มี PER ซื้อ ขายราว 20 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย SETFOOD ที่ 25 เท่า
ทั้งนี้ Downside Risk ต่อคำแนะนำของฝ่ายวิจัยจะมาจากกำลังซื้อฟื้นตัวช้ากว่าคาด ส่งผลต่อยอดขายและ Economies of scale ขณะที่ Upside ต่อ FV ของฝ่ายวิจัย จะมาจากความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีเกินคาด นอกจากจะหนุนกำไร มองว่าจะนำไปสู่การ Re – rating PER จากทั้งฝ่ายวิจัยและตลาด
ประเด็นความเสี่ยงต่อประมาณการ
ยอดขาย : การเปลี่ยนแปลงของยอดขายทุก 5% ที่ลดลง (เพิ่มขึ้น) จากสมมติฐานปี 2566 4.5 พันล้านบาท ภายใต้สมมติฐานอื่นคงเดิม จะส่งผลให้กำไรปี 2566 ลดลง (เพิ่มขึ้น) 5% และมูลค่าพื้นฐานปี 2566 จาก 28 บาท ลดลง (เพิ่มขึ้น) ราว 1 บาท
Gross Margin : การเปลี่ยนแปลงของ Gross Margin ทุก 1% ที่ลดลง (เพิ่มขึ้น) จากสมมติฐานปี 2566 ที่ 19.5% ภายใต้สมมติฐานอื่นคงเดิม จะส่งผลให้กำไรปี 2566 ลดลง (เพิ่มขึ้น) 10% และมูลค่าพื้นฐานปี 2566 จาก 28 บาท ลดลง (เพิ่มขึ้น) ราว 3 บาท
SG&A/Sales : การเปลี่ยนแปลงของ SG&A/Sales ทุก 1% ที่เพิ่มขึ้น (ลดลง) จากสมมติฐานปี 2566 ที่ 9.3% ภายใต้สมมติฐานอื่นคงเดิม จะส่งผลให้กำไรปี 2566 ลดลง (เพิ่มขึ้น) 10% และมูลค่าพื้นฐานปี 2566 จาก 28 บาท ลดลง (เพิ่มขึ้น) ราว 3 บาท
ESG
สิ่งแวดล้อม การบริหารการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการสูญเสียและประหยัดพลังงาน ผ่านการบำรุงรักษาเครื่องจักร ขณะที่ของเสียในการผลิตที่เกิดขึ้น การบริหาร จัดการเป็นไปตามที่ข้อกฎหมายกำหนด
สังคมแห่งคุณค่า เน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของคู่ค้าอย่างครบถ้วน ในด้านแรงงานเน้นที่ความปลอดภัยของพนักงานในโรงงาน อีกทั้งส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของพนักงาน รวมถึงร่วมพัฒนาชุมชนและสังคม
Governance เปิดเผยข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ทันเวลา และเท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบของหลักจริยธรรมและแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดี