บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Upgrade)

TP upside (downside) +24.8%

Close Feb 8, 2023 Price (THB) 50.50

Previous Target (THB) 63.00

12M Target (THB)  63.00

What’s new?

  • ผู้บริหาร Guide ยอดขาย USD เติบโต 4%-6% ในปี 2566 และคาด GPM จะดีขึ้น YoY จากราคาต้นทุนวัตถุดิบส่วนใหญ่เริ่มลดลง (ยกเว้นทองแดง)
  • ขณะที่ผลประกอบการระยะสั้นยังไม่เด่น คาด 1Q66 กำไรปกติลดลง Qoo และ YoY ผลกระทบจากค่าเงินบาท/ USD ที่แข็งค่าเร็ว กดดัน GPM ต่อเนื่องจาก 4Q65

Our view

  • เราคงคาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 2.4 พันล้าน บาท (+3.4% YoY) แต่ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ อิงราคาเหมาะสมที่ 63.00 บาทต่อหุ้น
  • จากการประชุมมีแนวโน้มตลาดต้องปรับลดประมาณการปี 2566 อีกระยะ แต่เรามองจังหวะการอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นโอกาสในการทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนที่มองภาพระยะกลางขึ้นไป

KCE ELECTRONICS เจ็บหนักเพราะค่าเงินบาท/USD ผันผวนเร็วเกินไป

สรุปสาระสําคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ – โทนเป็นลบ

1) ภาพรวมทั้งปี 2565 ยอดขายสกุล USD เติบโต 13% YoY แต่ GPM ลดลงจาก 26.6% ในปี 2564 เป็น 22.8% สาเหตุที่ GPM อ่อนแอมาจากแรงกดดันด้านต้นทุน 1) โรงงานที่ลาดกระบัง ได้รับผลกระทบจากราคา Raw Material ที่เพิ่มขึ้นราว 20% หรือเป็นผลกระทบราว 575 ล้านบาท, ต้นทุนเคมี และ Supply อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นอีกราว 300 ล้านบาท ขณะที่โรงอยุธยาได้รับผลกระทบในลักษณะเดียวกันที่ราว 500 ล้านบาท รวมทั้งสองโรงผลกระทบตลอดทั้งปีอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท

2) ต้นทุนโสหุ้ย (Overhead Cost) ส่วนใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ยกเว้นต้นทุนค่าไฟที่ปรับขึ้นจากค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น โดย KCE ได้ผลกระทบประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือน

3) KCE วางเป้าหมายการเติบโตของยอดขาย USD ในปี 2566 ที่ 4%-6% โดยหากอิงยอดขายรถยนต์ในตลาดโลก บริษัทคาดลดลงเล็กน้อย YoY โดยการพูดคุยในช่วงปลายปี ลูกค้าส่วนใหญ่ให้คาดการณ์คำสั่งซื้อในปี 2566 ที่ระดับ Double Digit Growth แต่ KCE ยังคงมุมมองระมัดระวังสำหรับปี 2566 และคาดยอดขายบนประมาณการที่ต่ำกว่ายอดของลูกค้า

4) KCE คาดยอดขาย Multilayer PCB (ส่วนใหญ่ใช้กับกลุ่มสินค้ารถยนต์และ Consumer Electronics) ลดลง YoY ตามผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจ แต่กลุ่ม HDI คาดจะเติบโตที่ระดับ +/-30% YoY โดยเป้าหมายรายได้ดังกล่าว ได้รวมผลของการลดราคาขายในช่วงต้นปี 2566 ราว 1%-2% ไปแล้ว

5) บริษัท Guide GPM ปี 2566 ที่ดีขึ้น YoY โดยบริษัทเริ่มเห็นราคาต้นทุน Raw Materials (Fiber Glass, Prepreg) และค่าเคมีเริ่มลดลง แม้ราคาทองแดงยังอยู่ในระดับสูง

6) ผลประกอบการ 1Q66 เราคาดกำไรปกติลดลง QoQ และ YoY แม้คาดยอดขายในรูป USD ทรงตัว QoQ เทียบกับ 4Q65 แต่จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท/USD ที่แข็งค่าเร็วกระทบกับ GPM โดย KCE Guide GPM ใน 1Q66 ที่ระดับต่ำกว่า 20% เทียบกับ 4Q65 ที่ 21.1%

7) โรงงานใหม่ที่โรจนะยังคงเป้าหมายเริ่มดำเนินงานในช่วง 2H67 ตามกำหนดการเดิม คาดใช้เวลาราว 6 เดือน จะขึ้นกำลังการผลิตได้เต็มศัพยภาพที่ 1 ล้านตารางฟุตต่อเดือน

ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 63.00 บาทต่อหุ้น

เราคงคาดการณ์กำไรปกติปี 2556 ที่ 2.4 พันล้านบาท (+3.4% YoY) แต่จาก Upside ที่เปิดกว้างมากขึ้น ทำให้เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสมที่ 63.00 บาทต่อหุ้น อิง PER 31x (+0.5SD) เชิงกลยุทธ์ เรามองว่าหุ้นยังมีโอกาสเกิดแรงขายได้อีกสักระยะ จากการที่ตลาดต้องปรับลดประมาณการลง อย่างไรก็ดี ประมาณการปี 2566 ของเราคาดยอดขายสกุลเงิน USD เติบโตเพียง 2% YoY และ GPM ที่ระดับ 23.5% ต่ำกว่ากำไรปกติที่ตลาดคาดราว 2.7 พันล้านบาท บน GPM 24.9% ทำให้ประมาณการของเรายังสมเหตุสมผล

แม้ผลประกอบการระยะสั้นไม่เด่น แต่หุ้นจะกลับมาน่าสนใจมากขึ้นใน 2H66 เรามองจังหวะการอ่อนตัวของราคาหุ้นเป็นโอกาสในการทยอยสะสมสำหรับนักลงทุนที่มองระยะกลางเกิน 6 เดือนขึ้นไป ระดับราคา +/- 50.00 บาทต่อหุ้น เรามองว่าไม่แพงแล้วเนื่องจากซื้อ ขายบน PER66 ใกล้เคียง -0.5SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี

ความเสี่ยงสำคัญ: 1) ค่าเงินบาท/USD 2) ราคาทองแดง 3) การขึ้นสายการผลิตโดยเฉพาะโรงงานที่โรจนะทำได้ล่าช้ากว่าคาด และ 4) การเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงโดยเฉพาะในตลาดยุโรป

- Advertisement -