มองประเด็นการเลือกตั้งเป็นปัจจัยบวกระยะสั้น
กรอบ SET INDEX 1658-1666
Market Outlook
เมื่อคืนสหรัฐฯ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเบื้องต้นสําหรับภาคบริการที่ 50.5 สูงกว่าตลาดประเมินที่ 47.3 และภาคผลิตที่ 47.8 สูงกว่าตลาดประเมินไว้ที่ 47.4 อย่างไรก็ตาม ยอดขายบ้านมือสองออกมาที่ 4 ล้านหลังคาเรือนสวนทางกับที่ตลาดประเมินใว้ที่ 4.09 ล้านหลังคาเรือน แต่ถึงกระนั้นพบว่า US Bond Yield ทั้งช่วงอายุ 2, 10 ปี ปรับขึ้นโดดเด่นพร้อมกับ CME Fed Watch เริ่มให้น้ำหนักมากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับขึ้น ดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมสิ้นเดือนมี.ค. ล่าสุดความน่าจะเป็นอยู่ที่ 24% จากต้นปีอยู่เพียง 1% ส่วนคืนนี้ติดตามแถลงการณ์ประชุม Fed Minute รอบเดือนม.ค. แต่เชื่อว่าผลกระทบต่อการลงทุนจํากัด เนื่องจากเป็นผลประชุมในอดีต ส่วนในประเทศวานนี้ SET INDEX ปรับขึ้นเด่นช่วงบ่าย หลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงว่าจะยุบสภาช่วงเดือนมี.ค. หากนายกฯ ตัดสินใจยุบสภาในช่วง เดือนมี.ค. ตามกฎหมายว่าไว้ว่าต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วันหรือช้าสุดไม่เกิน 60 วัน แต่ทั้งนี้ Timeline การเลือกตั้งยังคงไว้ช่วงเวลาเดิมที่เดือนพ.ค. เพราะหากนายกฯ ไม่ยุบสภาก็จะสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียงสิ้นเดือนมี.ค. เท่านั้น ทั้งนี้ สถิติในอดีตชี้ชัดว่าก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนตลาดหุ้นมักให้ผลตอบแทนที่ดี โดย Sector ที่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนโดดเด่น ได้แก่ อาหาร ค้าปลีก และรับเหมาก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม สถิติหลังเลือกตั้ง 3 เดือนตลาดหุ้นมักไม่สดใส แต่ทั้งนี้เรายังให้นํ้าหนักกับประเด็นการเลือกตั้งเป็นเพียง Sentiment บวกระยะสั้นมากกว่า เพราะไม่ได้เปลี่ยนปัจจัยพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนอย่างมีนัยยะสำคัญ วันนี้ประเมิน SET INDEX มีแนวโน้มอ่อนตัวลง แม้จะมีกระแสเลือกตั้งแต่ต่างประเทศดูมีน้ำหนักมากกว่าประเมินกรอบ 1658-1666 ขณะที่เช้านี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง ทดสอบ 34.68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ กดดันกระแสเงินทุนต่างชาติ ที่เมื่อวานขายสุทธิถึง 4.2 พันล้านบาท
เชิงกลยุทธ์ระยะสั้นเลือกหุ้นรับกระแสการเลือกตั้ง อาทิ กลุ่มค้าปลีก (BJC, CPALL, HMPRO) กลุ่มรับเหมา (CK, STEC) รวมไปถึงกลุ่มส่งออก (ASIAN, TU) ได้ผลบวกค่าเงินบาทอ่อนค่า กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA) รับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในไทยจากทั้งต่างชาติและคนไทยอื่นๆ แนะกลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) กลุ่มโรงพยาบาล (BCH, BDMS, CHG)
หุ้นแนะนำซื้อวันนี้
CK ราคาพื้นฐาน 27.75 บาท
คาดว่าผลประกอบการงวด 4Q22 จะมีกำไรสุทธิ 181 ล้านบาท (+73% YoY, -47% QoQ) แต่มีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนก่อนภาษีใน BEM เข้ามาประมาณ 180 ล้านบาท ถ้าไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว เราคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 37 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุน 119 ล้านบาท ใน 4Q21 และลดลง 131% QoQ โดยการลดลงจาก 3Q22 มากเกิดจาก 3 สาเหตุหลัก คือ (1) ไม่มีเงินปันผลรับจาก TTW เข้ามา (2) BEM ไม่มีเงินปันผลรับจาก TTW เช่นกัน และ (3) เป็นช่วง Low Season ของ CKP
TU ราคาพื้นฐาน 23.50 บาท
ปัจจัยบวกระยะสั้นของ TU มาจากเงินบาทอ่อนค่า ประกอบกับกำไรปกติในช่วง 4Q22 ออกมาแข็งแกร่ง หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นและยอดขายที่ขยายตัว นอกจากนี้ราคาหุ้นยังไม่แพง ชื้อขายเพียง 10.5x Trailing PE และมีเงินปันผลราว 5.2%