บล.ฟิลลิป:
โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ – GPSC คาดผลการดำเนินงานฟื้นตัวอย่างมีนัย
Key Point
ผลการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2565 และคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างมีนัยในปี 2566 จากการปรับค่า Ft งวด ม.ค.-เม.ย. 2566 สำหรับลูกค้าอุตสาหกรรมมาอยู่ที่ 154.92 สตางค์ ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่ คาดว่าจะกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น นอกจากนี้ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อ-ขายอยู่ที่ PBV 1.88X ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี หรือคิดเป็นระดับ -0.5SD ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 84 บาท
คาดผลการดำเนินงานปี 2566 ฟื้นตัวอย่างมีนัย
ทางฝ่ายปรับประมาณการปี 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 6,462 ลบ. เนื่องจากการปรับขึ้นค่า Ft สำหรับงวด ม.ค.- เม.ย. 2566 ขึ้นมาอยู่ที่ 154.92 สตางค์ สำหรับลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมจากเดิมอยู่ที่ 93.43 สตางค์ ในช่วง 4Q65 ซึ่งส่งผลต่อกำไรของ GPSC ค่อนข้างมาก เนื่อง GPSC มีสัดส่วนการขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 40% ของกำลังการผลิต ประกอบกับราคาก๊าซธรรมชาติที่มีความผ่อนคลายมากขึ้น โดยในปัจจุบันราคา LNG JKM อยู่ที่ราว 15 ดอลลาร์/MMBTU ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าก่อนเกิดสงครามยูเครน-รัสเซีย ทำให้คาดว่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติจะกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น แต่ในส่วนของต้นทุนถ่านหินคาดว่ายังคงเป็นปัจจัยกดดัน margin ของ GPSC อยู่แม้จะคาดว่าระดับราคาในปี 2566 จะลดลง y-y แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับในอดีต นอกจากนี้ผลการดำเนินงานยังได้แรงหนุนจากการ COD ของ Glow Energy Phase 2 Replacement ซึ่งมาแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ช่วงปี 2540 ซึ่งจะส่งผลให้การใช้ก๊าซธรรมชาติมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียน
ปัจจุบัน GPSC มีสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ 38% ของกำลังการผลิตร่วม และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และสำหรับโครงการที่อยู่ใน pipeline อย่าง Avaada (AEPL) คาดว่าจะยังมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกราว 200 MW ในปีนี้ ประกอบกับทางบริษัทตั้งเป้ารับรู้ส่วนแบ่งกำไรของ AEPL ในปี 2566 อยู่ที่ 200 ลบ และในส่วนของโครงการพลังงานลมในไต้หวัน (CFXD) ที่มีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 595 MW และมีกำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ 149 MW ปัจจุบันที่ความคืบหน้าของโครงการอยู่ที่ 54% และคาดว่าจะ COD เต็มกำลังการผลิตได้ในช่วง 1Q67
ทางฝ่ายคงราคาพื้นฐานปี 2566 ที่ 84 บาท
ทางฝ่ายคงราคาพื้นฐานปี 2566 ที่ 84 บาท (วิธี DCF, WACC = 5.13%, TG = 2%) และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2565 และจะฟื้นตัวในปี 2566 ประกอบกับปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายอยู่ที่เพียง PBV 1.64x ต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5 ปี (PBV เฉลี่ย 5 ปี= 2.71x) หรือคิดเป็นระดับ 0.5-SD
ความเสี่ยง
- การเปลี่ยนแปลงของนโยบายภาครัฐ
- การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน
- ต้นทุนพลังงาน