Our View? “ไม่สู้ดี (กว่า)”

คาดตลาดวันนี้ “Sideway Down” มองแนวรับที่บริเวณ 1,630 / 1,620 และแนวต้านที่บริเวณ 1,640 / 1,645 คาดตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลถึงแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) หลังจากที่เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์สหรัฐ รายงานตัวเลขดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ม.ค. ออกมาอยู่ที่ระดับ +5.40% YoY และ +0.60% MoM ขณะที่ตัวเลขดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) อยู่ที่ระดับ +4.70% YoY และ +0.6% MoM เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าและมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ เป็นเครื่องยืนยันถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่เริ่มเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐในปัจจุบันยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวลกับการเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงของ FED ได้อีกครั้ง ล่าสุดตลาดเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการที่ FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% ในเดือน มี.ค. โดย CME FED Watch Tools เริ่มปรับขึ้นคาดการณ์ว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ที่ระดับ 25.0-30.0% จากช่วงก่อนหน้าที่เพียง 2.0-5.0% รวมทั้งยังคาดว่า FED จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ จนกว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับตัวลงเข้าสู่ระดับ 2.0% มองเป็นการค่าเงินดอลลาร์เร่งตัวขึ้นได้ต่อ โดยล่าสุด Dollar Index เร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งอยู่ที่ระดับ 105.2+/- ส่งผลลบต่อกระแสเงินทุนต่างชาติในการไหลเข้าตลาดภูมิภาครวมถึงตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังเป็นปัจจัยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) ปรับตัวขึ้นอีกครั้งล่าสุด 10 Year US Bond Yield พยายามขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 3.95%+/- ลดทอนความน่าสนใจของราคาสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อเปรียบเทียบในเชิงอัตราผลตอบแทน คาดจะเป็นปัจจัยกดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงได้ต่อเช่นกัน

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน พ.ค. เมื่อคืนนี้วันศุกร์ที่ผ่านมายังสามารถรีบาวด์ขึ้นได้ต่อปิดที่ระดับ 76.32 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.93 ดอลลาร์ (+1.23%) ยังคงได้รับแรงหนุนจากการที่รัสเซียประกาศจะลดการส่งออกน้ำมันจากท่าเรือตะวันตกราว 25% ในเดือน มี.ค. ส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบค่อนข้างตึงตัวบ้างในระยะสั้น คาดจะกระตุ้นหุ้นในกลุ่มพลังงานรีบาวด์ประคองตลาดได้บ้างเล็กน้อย

สําหรับปัจจัยในประเทศ เรายังคงมีความกังวลต่อทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติที่ขายสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่อง ตามกลับมาอ่อนค่าของค่าเงินบาทที่ล่าสุดขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่บริเวณ 34.90 บาท+/- รวมทั้งการรายงานผลประกอบการ 4Q’65 ของตลาดหุ้นไทยที่ส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาดไว้ คาดจะกดดันทิศทาง EPS ของตลาดในปีนี้ลดลง  เป็นปัจจัยกดดัน จำกัด Upside ของตลาดหุ้นไทยได้อยู่ โดยในเดือน ก.พ. นี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยไปกว่า 3.77 หมื่นล้านบาท และทำธุรกรรมฝั่ง Short SET50 Index Futures ไปกว่า 2.21 แสนสัญญา คาดจะเป็นปัจจัยหลักกดดันทิศทางตลาดหุ้นไทยได้อยู่ อย่างไรก็ตาม เราแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นในบางกลุ่มที่ถึงแม้ผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด แต่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ต่อในปีนี้อาทิ 1.) หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) และ 2). หุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL และ SCB) 3.) กลุ่มปิโตรเคมี (SCC, PTTGC และ IVL) เรามองราคาอ่อนตัวลงรับรู้การรายงานผลประกอบการ 4Q’65 ไปบ้างแล้วในระดับหนึ่ง รวมทั้งเรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการที่นายกฯ ส่งสัญญาณถึงการยุบสภาฯ ในช่วงเดือน มี.ค. เพื่อเตรียมพร้อมในการเลือกตั้งใหญ่ก่อนวันที่ 7 พ.ค. คาดจะกระตุ้นแรงเก็งกำไรในหุ้นในธีม Election Play อาทิ STEC, CK, SEAFCO, MAKRO, CPALL, BJC และ TKS

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนำาวันนี้ “AWC”

กลยุทธ์ แนวรับ 5.90 / 5.70 Target 6.50 / 7.00 stop <5.60

- Advertisement -