แรงส่งจากงบเริ่มหมด ระวังแรงกดจากการเมืองและเศรษฐกิจครึ่งหลัง

สถานการณ์โควิดทั่วโลกกดดันต่อภาพเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ตลาดหุ้นยุโรปและสหรัฐฯทรงตัวรอบแคบ แม้ยังได้อานิสงค์เชิงบวกจากการรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/64 ที่แข็งแกร่ง และสถานการณ์ระบาดระลอกใหม่ในหลายประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูง และความเชื่อมั่นผู้บริโภสหรัฐฯส.ค. ที่ 70.2 ลดลงจาก ก.ค. ที่ 81.2 และต่ำสุดนับจาก 2554 จะทำให้นักลงทุนเริ่มกังวลกับการฟื้นตัวที่ชะลอในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ข้อเสนอแนะของการฉีดวัคซีนเข็มสามอาจทำให้การขาดแคลนวัคซีนในเอเชียและพื้นที่อื่นของโลกไม่ดีขึ้นโดยเร็ว และทำให้ประเทศซีกโลกตะวันตกอย่างสหรัฐฯและยุโรปได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ที่น้อยกว่า และยังคงมีทิศทางการฟื้นตัวดีกว่าตลาดเอเชียและพื้นที่อื่น

หุ้นไทยได้รับแรงกดดันทั้งจากโควิดและการเมือง อัตราการเสียชีวิตล่าสุดของไทยสูงกว่าโลก แต่สูงกว่าเอเชียราว 2.61 เท่า ขณะที่สถานการณ์ยังไม่เข้าสู่จุดสูงสุด ซึ่งแปลว่าสถานการณ์อาจแย่ลงอีกหากรัฐบาลตัดสินใจผ่อนคลายจะต้องแลกกับการเสียชีวิตที่สูงขึ้น (ซึ่งเรามองว่ารัฐบาลจะไม่แลก) ที่ให้มีโอกาสยืดระยะเวลาล็อคดาวน์เพื่อกดตัวเลขการเสียชีวิต ซึ่งจะส่งผลกระทบกลับมาที่ความไม่พอใจของประชาชนและการเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อขับไล่รัฐบาล สถานการณ์โดยรวมจึงยังจะเห็นความอ่อนแอในด้านกำลังซื้อและความเชื่อมั่น ซึ่งจะเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากแรงส่งของหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีมากในช่วงครึ่งปีแรกจะเริ่มแผ่วลง

ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FIREIT, WHART / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไรกลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC / กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์แม้แนวโน้มผลประกอบการดี แต่ระยะสั้นถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้น และจากความเสี่ยงการผลิตอาจกระทบหากมีพนักงานติดโควิด

ภาพรวมกลยุทธ์: SET Index ยังอยู่ในแนวโน้มแกว่งตัวลงในกรอบ 1,500-1,550 จุด อย่างไรก็ตาม การลงทดสอบแนวรับระหว่างทาง หุ้นรายตัวมีโอกาสคาดหวังการฟื้นตัวในระดับ 5-10% หลังหุ้นขนาดใหญ่ปรับลดลงมาแรง 20-30% //

หุ้นแนะนำ: GPSC *, TTA *, KEX *

แนวรับ: 1,515 / แนวต้าน: 1,535-1,550 จุดสัดส่วน: เงินสด 60%: พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

สหรัฐรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 10 ปี: ผลสำรวจของมหาลัยมิชิแกินเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเดือน ส.ค. ร่วงลงสู่ระดับ 70.2 ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2554 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 81.2 จากความวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและการจ้างงาน รวมถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

จีนส่งสัญญาณควบคุมธุรกิจต้านการผูกขาด: พรรคคอมมิวนิสต์จีนเปิดเผยแผนแม่บทระยะ 5 ปี เพื่อกำหนดกรอบการดำเนินงานในการควบคุมอุตสาหกรรมที่สำคัญหลายประเภท ตั้งแต่อุตสาหกรรมอาหารและยา ไปจนถึงบิ๊กดาตาและปัญญาประดิษฐ์ (AI)

บอร์ดกนอ. ไฟเขียวตั้งนิคมร่วมดำเนินงานแห่งใหม่ในอีอีซี: รับนโยบายรัฐด้านพัฒนาเชิงพื้นที่วางเป้าหมายรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ มั่นใจเป็นพื้นที่สำคัญดึงดูดเทคโนโลยีขั้นสูงคาดสามารถสร้างมูลค่าลงทุนได้ 33.2 หมื่นล้านบาท เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นราว 8.3 พันคน

ททท. เล็งขอลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน: ททท. เตรียมเสนอรัฐบาลลดวันกักตัวต่างชาติเข้าไทยเหลือ 7 วันเหมือนเวียดนามและสิงคโปร์ หากยืดเยื้อเตรียมปรับเป้าหมายการนำต่างชาติเข้าไทยลดลง พร้อมเร่งปรับโครงสร้างท่องเที่ยวหลังโควิด

ประเด็นติดตาม:-16 ส.ค. : Chinese Industrial Production เดือน ก.ค. , Thailand GDP Q2 / 64/17 ส.ค. : EU GDP Q2 / 64/25 ส.ค. : Thailand Focus

ประเด็นลงทุนสำหรับหุ้นแนะนำ

  • เก็งกำไร GPSC*(100): คาดการเข้าซื้อกิจการและทำ M&A จะยังเป็นบวกต่อผลการดำเนินงาน เก็งกำไรโดยกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ 77 บาท
  • เก็งกำไร TTA*(19): คาดผลการดำเนินงานกลุ่มเดินเรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เก็งกำไรโดยกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ 14.50 บาท
  • เก็งกำไร KEX*(48): เก็งกำไรการฟื้นตัวทางเทคนิค ตัดขาดทุน 39.75 บาท

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

- Advertisement -