บล.ทรีนีตี้:
บมจ. เบทาโกร – BTG
ซื้อ ราคาเป้าหมาย 38 บาท, Upside/Downside +18%, Median Consensus 45 บาท
อาจเห็นกำไรปี 66 อ่อนตัวจากแนวโน้มราคาสัตว์บก
- กำไรปี 2565 อยู่ที่ 7,938 ล้านบาท ดีขึ้น 786%YoY ใกล้เคียงคาด
- ส่วนกำไร 4Q65 อยู่ที่ 1,796 ล้านบาท อ่อนตัว 22%QoQ
- โดยใน 4Q65 เริ่มเห็นราคาสัตว์บกอ่อนตัวลงเล็กน้อย แต่ใน 1Q66 ราคาสัตว์บกอ่อนตัวลงมาค่อนข้างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาหมู ซึ่งเป็นผลจากการลักลอบนำเข้าหมูจากต่างประเทศ ทำให้ปริมาณหมูเพิ่มสูงขึ้น
- คาดภาครัฐจะเร่งปราบปราม เนื่องจากราคาหมูปัจจุบันทำให้ผู้เลี้ยงรายย่อยขาดทุน แต่ยังต้องติดตามว่าจะสามารถจัดการได้รวดเร็วเพียงใด
- ปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลงราว 27% จากประมาณการก่อนหน้า
- ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 38 บาท ราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมา ทำให้ยังมี Upside
กำไร 4Q65 อ่อนตัว หลังเริ่มเห็นสัญญาณราคาสัตว์บกอ่อนตัว
BTG รายงานกำไรสำหรับปี 2565 ที่ 7,938 ล้านบาท ดีขึ้น 786%YoY ใกล้เคียงกับที่เราคาดไว้ก่อนหน้าที่ 8,081 ล้านบาท โดยกำไรงวด 4Q65 อยู่ที่ 1,796 ล้านบาท อ่อนตัว 22%QoQ แต่ยังเติบโตจากฐานต่ำในปีก่อนที่ 99% YoY กำไรที่อ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนเป็นผลจากราคาสัตว์บกทั้งหมูและไก่ในประเทศที่อ่อนตัวลงในช่วงปลายปี อีกทั้งยังเริ่มเห็นแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 21.2% ในไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 17.9%
ปรับประมาณการกำไรปี 66 ลง สะท้อนแนวโน้มราคาสัตว์บกที่อ่อนตัว
แนวโน้มราคาสัตว์บกในช่วงต้นปี 2566 ได้อ่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาหมูหน้าฟาร์มที่ลดลงจากระดับ 100 บาท/กก. (ราคาขายจริงอาจสูงกว่า) มาอยู่ที่ราว 80 บาท/กก. แล้ว ซึ่งในแง่ของการผลิตในประเทศยังไม่ได้ฟื้นตัวจากผลกระทบของการระบาดของโรค ASE อย่างเต็มที่ แต่มีการลับลอบนำเข้าหมู ทั้งเป็นชิ้นส่วนและหมูเป็นเข้ามาในประเทศ ทำให้ปริมาณหมูในระบบเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีผลกระทบจากการกักตุนหมูในช่วงก่อนหน้า ทำให้ ในช่วงที่ราคาเริ่มอ่อนตัวลงมา มีการเทขายหมูเข้ามาซ้ำเติม โดยในระยะถัดไปเราคาดว่าผลกระทบจากการเทขายหมูที่กักตุนจะลดลง แต่ในส่วนของการลักลอบนำเข้ายังต้องติดตามดูการปราบปรามจากทางภาครัฐ ในภาพรวมเราจึงคาดว่าราคาหมูในปี 2566 จะอ่อนตัวลงค่อนข้างมากจากปีก่อน อีกทั้งยังมีผลกระทบจากต้นทุนอาหารสัตว์ ทั้งกากถั่วเหลืองและข้าวโพดที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2566 ลงราว 27% จากประมาณการก่อนหน้ามาอยู่ที่ 6,158 ล้านบาท (-22%YoY)
ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 38 บาท
จากการปรับประมาณการกำไร ทำให้เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2566 ใหม่ที่ 38 บาท อิง PER 12 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันที่อ่อนตัวลงมาคิดเป็น Forward PER ที่ 10 เท่า ถือว่ายังพอมี Upside บวกกับบริษัทประกาศจ่ายปันผลอีก 1 บาท (XD 14 มี.ค. 66) คิดเป็น Div. Yield ราว 3.1% ทำให้ในเชิงพื้นฐานเรายังคงแนะนำ “ซื้อ”