Our View? “ลงก่อน ลุ้นเด้งที่หลัง”
คาดตลาดวันนี้ “Down” มองแนวรับที่บริเวณ 1,580 / 1,570 และแนวต้านที่บริเวณ 1,605 /1,615 คาดในช่วงแรกตลาดจะได้รับ Sentiment เชิงลบจากตลาดต่างประเทศจากการที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากของสหรัฐ (Federal Deposit Insurance Corporation : FDIC) สั่งปิด Silicon Valley Bank (SVB) จากปัญหาการขาดทุนของ SVB ซึ่งมีสาเหตุจากการได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วสู่ระดับปัจจุบันที่ 4.75% จาก 0.25% ภายในระยะเวลาแค่ 1 ปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้น ทำให้ SVB มีรายการขาดทุนจากการขายพันฐบัตร รวมทั้งกลุ่มผู้กู้เงินของ SVB เป็นลูกค้าในกลุ่ม Start Up ซึ่งเป็นกลุ่มที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวต่อทิศทางดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เช้านี้ FED และกระทรวงการคลังสหรัฐประกาศมาตรการคุ้มครองเงินฝากของประชาชนที่ฝากไว้กับ SVB รวมทั้งจัดตั้งโครงการ Bank Term Funding Program เพื่อเปิดทางให้ภาครัฐส่งเงินสนับสนุนด้านการฝากเงินได้มากขึ้น โดยเสนอเงินกู้อายุ 1 ปีให้กับสถาบันทางการเงินประเภทต่างๆ โดยต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน อาทิ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ หรือตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) และคาดว่า FED อาจจะมีการอนุญาตให้ธนาคารฯ ไม่ต้องนำผลขาดทุนจากพันธบัตรไปคำนวณเงินกองทุนชั่วคราว คาดจะช่วยผ่อนคลายความกังวลในการลุกลามของปัญหาที่มีความคล้ายคลึงกันหรือได้รับผลกระทบจาก SVB ได้บ้าง ในอีกมุมหนึ่งเราคาดว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นปัจจัยช่วยให้ตลาดพูดคุยกันเกี่ยวกับการลดยาแรงของ FED ลงในระยะถัดไป จากการที่ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED เริ่มส่งผลกระทบที่รุนแรงกับธนาคารฯ ในสหรัฐบ้างแล้ว คาดอาจจะเริ่มชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยลงบ้าง หรือการปรับอัตราดอกเบี้ยลงเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ คาดจะส่งผลให้ตลาดเริ่มฟื้นตัวกลับขึ้นได้ในระยะถัดไป
ขณะที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือน ก.พ. (Nonfarm Payroll) ออกมาที่ระดับ 3.11 แสนตำแหน่งมากกว่าที่ตลาดคาดที่ 2.25 แสนตำแหน่งแต่ชะลอตัวลงบ้างหลังปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเดือน ม.ค. ที่ระดับ 5.17 แสนราย ในส่วนของตัวเลขอัตราการว่างงานเดือน ก.พ. ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ 3.6% สูงกว่าที่ตลาดคาด หนุนให้ FED อาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้เช่นกัน ทั้งนี้เรามองว่าสัปดาห์นี้ตลาดจะยังคงติดตามการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพื่อประเมินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED อีกครั้ง โดยล่าสุด CME FED Watch Tools บ่งชี้ตลาดคาดการณ์ FED จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเพียง 0.25% ในเดือน มี.ค. ที่โอกาส 80.0%+/- จากก่อนหน้าคาดที่ 0.50% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดอยู่ที่ระดับเพียง 5.00-5.25% จากก่อนหน้าที่ระดับ 5.50- 5.75% คาดจะเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงในระยะกลาง
สำหรับปัจจัยในประเทศเรายังคงต้องติดตามแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างไกล้ชิด หลังจากที่ค่าเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เรายังคาดแรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มลดลงในระยะถัดไปจากการเริ่มเห็นกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ของไทย รวมทั้งเราเริ่มเห็นการกลับมาปรับขึ้นคาดการณ์ EPS ของตลาดหุ้นไทยในปี’66 จากก่อนหน้าที่มีการปรับลดคาดการณ์กำไรของตลาดลงอยู่เพียง 90.0 บาท+/- เริ่มเร่งขึ้นกลับไปที่ระดับ 104.0บาท+/- รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 35,00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐแล้ว คาดเป็นสัญญาณถึงแนวโน้มโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มชะลอการขาย-กลับเข้าซื้อใหม่อีกครั้งในระยะถัดไป โดยเรายังคงแนะนำทยอยซื้อสะสมหุ้นในบางกลุ่มที่ถึงแม้ผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด แต่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ต่อในปีนี้ อาทิ 1.) หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) และ 2). หุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL, SCB และ KKP) 3.) กลุ่มปิโตรเคมี (SCC, PTTGC, SCGP และ IVL) เรามองราคาอ่อนตัวลงรับรู้การรายงานผลประกอบการ 4Q′65 ไปบ้างแล้วในระดับหนึ่ง
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้ “KKP”
กลยุทธ์ ทยอยซื้อสะสม แนวรับ 66.00 / 65.00 Target 68.50 / 70.00 stop <64.00