Daily Focus: Domestic and Defensive Play
2023SET Target: 1750
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับลงในช่วงเปิดตลาดก่อนจะรีบาวด์กลับขึ้นมาทรงตัวได้ในช่วงครึ่งเช้า อย่างไรก็ตาม มีแรงเทขายอย่างหนักในช่วงบ่าย โดยเฉพาะท้ายตลาด กดดัชนีปิดลบแรงถึง 26.58 จุด ณ สิ้นวัน โดยตลาดยังกังวลการลุกลามของปัญหาภาคธนาคารสหรัฐฯ ต่อเนื่องจาก SVB สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 552 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ และบัญชีบล.ขายสุทธิ 2.2 ลบ.และ 1.9 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Futures อีกบางๆ 3.2 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways และยังมีควมผันผวนที่ค่อนข้างสูง โดยตลาดยังคงประเมินและติดตามสถานการณ์ปัญหาสภาพคล่องของภาคธนาคารในสหรัฐฯ ว่าจะมีการลุกลามไปยังธนาคารอื่นนอกเหนือจาก SVB Silvergate และ Signature Bank หรือไม่ เม็ดเงินยังคงไหลเข้าถือสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรทำให้ Bond Yield สหรัฐฯอายุ 2 ปีปรับตัวลงแรงไปแล้ว 100 bps เหลือราว 4% ในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา และเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ เรามองปัญหาดังกล่าวไม่ได้น่ากังวลหรือรุนแรงเท่าปี 2008 ซึ่งเป็นเรื่องคุณภาพหนี้ อย่างไรก็ตาม โฟกัสของตลาดคาดยังอยู่ที่ตัวเลขเงินเฟ้อ CPI เดือน ก.พ. สหรัฐฯ คืนนี้ว่าจะเห็นสัญญาณชะลอตัวลงได้เร็วมากน้อยเพียงใด และน่าจะยังเป็นสิ่งที่ FED ให้น้ำหนักมากที่สุดต่อการท่านโยบายการเงิน เราแนะนำนักลงทุน Wait and See หลังให้สะสมหุ้นระดับแรกที่ 1,600 จุดแล้ว โดยจะประเมินระดับในการเข้าสะสมถัดไปอีกครั้ง ตามสถานการณ์ภาคธนาคารต่างประเทศว่าจะลุกลามหรือไม่ เบื้องต้นมองต่ำลงมาในกรอบ 1,500-1,550 จุด ส่วนระยะสั้นเน้นพักเงินในหุ้น Domestic และ Defensive Play อย่างกลุ่ม การแพทย์ โรงไฟฟ้า สื่อสารฯ ค้าปลีก
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้น Domestic และ Defensive Play ที่กระจํากัดจากปัจจัยต่างประเทศ
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : ASW, BEYOND, CPN, M, NSL
หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายจาก IAA Consensus 74.13 บาท
- โมเมนตัมกำาไร 1Q23 คาดฟื้นตัว q-q ตาม SSSG ที่ปรับขึ้นทั้ง CPALL รวมถึง MAKRO รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านพนักงานที่ลดลง q-q ขณะที่ค่าไฟขยับขึ้นจากการปรับขึ้นค่า Ft งวด ม.ค.-เม.ย. 23 ของภาคธุรกิจ
- ระยะสั้นเรามองจะมี Catalyst หนุนจากการประกาศยุบสภาที่คาดจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ รวมถึงโอกาสปรับลดค่า Ft รอบเดือน พ.ค.-ส.ค. 23 จะเป็นบวกต่อทั้งฝั่งรายได้และ Margin ให้ขยับตัวดีขึ้น Consensus คาดกำไรปี 2023 +28% y-y
- แนวรับ 61 บาท แนวต้าน 63-64 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคบางๆ US$74 ล้าน นำโดยฟิลิปปินส์ US$385 ล้าน ตามด้วยไทย US$64 ล้าน อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินพลิกมาไหลเข้าไต้หวันและเกาหลีใต้ US$208 ล้านและ US$128 ล้าน ตามลำดับ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออก ตลาดยังจับตาปัญหาสภาพคล่องกลุ่มธนาคารในสหรัฐฯว่าจะลุกลามหรือไม่ รวมถึงรอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน ก.พ. คืนนี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) จับตาเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ คืนนี้ สำหรับเดือน ก.พ. ตลาดคาดเงินเฟ้อทั่วไป +0.4% m- m, +6% y-y ชะลอจากเดือน ม.ค. ที่ +0.5% m-m, +6.4% y-y ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาด +0.4% m-m, +5.5% y-y ทรงถึงชะลอเล็กน้อยจากเดือน ม.ค. ที่ +0.4% m-m, +5.6% y- y หากออกมาต่ำกว่าคาดจะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนผ่อนคลายลงได้บ้าง และเพิ่มความมั่นใจว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในสัปดาห์หน้าหรือกรณีดีที่สุดคือคงอัตราดอกเบี้ย (ปัจจุบันตลาดมองความน่าจะเป็นของการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หรือคงดอกเบี้ยที่ 65% : 35%) ในทางกลับกันหากยังทรงในระดับสูงจะยังเป็นปัจจัยกดดันอย่างต่อเนื่อง
(0) กลุ่มธนาคาร ธปท. ธนาคารไทยมีพื้นฐานแกร่งและได้รับผลกระทบจำกัดจากการปิดตัวของ Silicon Valley Bank (SVB) ธนาคารไทยไม่มีการลงุทนโดยตรงกับ SVB และปริมาณธุรกรรมของกลุ่มธนาคารไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนรวมที่มีราว 19% ธนาคารไทยไม่มีการถือครองสินทรัพย์ดิจิตอล ขณะที่กลุ่มธุรกิจถือครองในสินทรัพย์ดิจิตอลเพียง 200 ลบ. และมีมาตรการเข้มงวดในการกำกับดูแลธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล โดยรวมธนาคารที่เรามองปลอดภัยที่สุดโดยเฉพาะด้านคุณภาพสินทรัพย์คือ BBL KTB TISCO
(0) THG ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้โต +10% y-y แม้รายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับ COVID-19 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 22% ของรายได้ปี 2022 จะหายไป แต่ยังได้แรงหนุนจากโรงพยาบาลตรังเวชกิจที่เข้าลงทุนในสัดส่วน 55% เมื่อเดือน ธ.ค. 22 ส่วนโรงพยาบาลเดิมคาดเติบโตราว 10-15% โดยรพ.ธนบุรี บำรุงเมือง คาดได้แรงหนุนจากผู้ป่วยต่างชาติ Fly-in ที่เพิ่มขึ้น ส่วนรพ. Ar Yu คาดมีกำไรที่แข็งแกร่งต่อเนื่องและเป็นผู้นำรพ.ในเมียนมาร์ นอกจากนี้ยังมองหาดีล M&A เพิ่มอีก 2-3 ดีลต่อปีด้วยเงินลงทุน 1-1.5 พันลบ.หนุนการเติบโตแบบ Inorganic เราคาดกำไรปี 2023 -21% y-y จากฐานสูงในปี 2022 และกลับมาเติบโต +14% y-y ในปี 2024 ภาพรวมการเติบโตดูแข็งแกร่งมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันยังเกินราคาเป้าหมายที่ 55 บาทอยู่มาก จึงยังคงคำแนะนำ “ขาย”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 90.50 จุด หรือ -0.28% ปิดที่ 31,819.14 จุด นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงอย่างหนัก เนื่องจากการนักลงทุนกังวลว่า การล้มละลายของซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank) หรือ SVB จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ ยังคงถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคาร แม้หน่วยงานภาครัฐเข้าดำเนินการเพื่อจำกัดผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB)
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ ตามทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐ จากความกังวลในภาคธนาคารของสหรัฐ
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.88 ดอลลาร์ หรือ 2.45% ปิดที่ 74.8 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับภาคธนาคารของสหรัฐฯ ในขณะที่เช้านี้ปรับลงต่อที่ระดับ 74.69 ดอลลาร์/บาร์เรล -0.15%
(+) ราคาทองคํา COMEX เพิ่มขึ้น 49.30 ดอลลาร์ หรือ 2.64% ปิดที่ระดับ 1,916.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์และการปรับลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รวมถึงการเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ในขณะที่เช้านี้ย่อตัวลงที่ระดับ 1,915.4 ดอลลาร์/ออนซ์ -0.06%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 913.27 / +11.85