ประเมิน SET Index ระยะสั้นอาจเห็นการพักฐาน เน้นยืนแนวรับ 1,550/1,538 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา / วันนี้เคาะ SCB ซื้อเพื่อรับปันผล
ประเด็นการลงทุน
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้
SETI ปิดที่ 1,565.00 จุด เพิ่มขึ้น 41.11 จุด (+2.70%) มูลค่าการซื้อขาย 69,703.56 ล้านบาท แม้วันนี้จะไม่ได้มี catalyst พิเศษ แต่หลังจากที่ตลาดปรับลงไปใกล้ 1,520 จุด ซึ่งเป็นแนวรับสำคัญ ทำให้ P/E ลงมาที่ 15 เท่า นักลงทุนจึงตัดสินใจเสี่ยงเข้าซื้อ
Research Highlight: คลื่นลูกใหญ่อาจกำลังก่อตัว เน้นยืนแนวรับ 1550
1. เครดิต สวิส เผชิญ วิกฤตสภาพคล่อง คลื่นลูกใหญ่กว่า SVB กำลังก่อตัว
- รายงานจากนสพ. ไฟแนนเชียลไทม์ พบว่า เครดิต สวิส ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือต่อธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของสวิตเซอร์แลนด์แล้ว
- โดยผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างธนาคารซาอุดี เนชั่นแนล (SNB) ไม่สามารถเพิ่มความช่วยเหลือทางการเงินต่อเครดิต สวิส เนื่องจากจะทำให้ SNB ถือหุ้นในเครดิต สวิส มากกว่า 10%
- ล่าสุดหุ้นเครดิตสวิส ร่วงลง 24.2% ขณะที่ CDS ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มีความวิตกเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของภาคธนาคารยุโรป ส่งผลต่อตลาดคาดการณ์ ในขณะนี้ว่าการประชุม ECB ในวันนี้อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% สู่ ระดับ 3.25% (แต่ภาพรวมยังมองว่ามีโอกาสปรับขึ้นอีก 0.5%)
2. ตัวเลข PPI -ยอดค้า ปลีก ก.พ. สหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาดกว่าคาต
- ดัชนี PPI ก.พ. ขยายตัว 4.6%YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 5.7%YoY ขณะที่ยอดค้าปลีก ก.พ. ปรับตัวลง 0.4%MoM ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 0.3%MoM สะท้อนภาพการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของเฟด กระทบต่อภาคผู้ผลิต และผู้บริโภครายย่อยแล้ว
- ข้อมูลจาก Fed Watch Tool รายงานว่าตลาดให้น้ำหนัก 520% ที่เฟตจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 21-22 มี.ค. และให้น้ำหนักเพียง 48.0% ทีเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%
- นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 67.3% ที่อัตราดอกเบี้ยเป้าหมายของเฟดจะลดลงสู่ระดับ 3.50-3.75% ในเดือนธ.ค. จากปัจจุบันที่ระดับ 4.50-4.75% ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟตอาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 1,00% ในปีนี้
Investment Strategy:
- SETI ปรับตัวขึ้นแรงในลักษณะของการรีบาวนด์ทางเทคนิคระยะสั้นอาจเห็นการพักฐาน เน้นยืนแนวรับ 1550/1538 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา แนวต้านทดสอบ 1572/1580
- Selective buy กลุ่ม Defensive SISB DMT BDMS BH ADVANC THCOM MASTER JMT กลุ่ม Anti-commodity SCGP SCC TASCO CBG TOA DPAINT GPSC
Core Portfolio: EA CPN AOT AAV KFENS50-A KFACHINA-A และ AFMOAT-HA
Upcoming Events: ECB meeting (16 Mar), EU CPI Feb (17 Mar)
Global Markets
(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลง จากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการเงินของธนาคารเครดิต สวิส อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ลดช่วงลบในช่วงท้ายตลาด หลังจากสื่อรายงานว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้จัดการประชุมเพื่อหาแนวทางสร้างเสถียรภาพการเงินของ เครดิต สวิส
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดร่วงลงปรับตัวลงวันเดียวมากที่สุดในรอบกว่า 1 ปี เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มธนาคารอีกครั้ง
(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดร่วงลงกว่า 5% ปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 ปีในวันพุธ (15 มี.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ด้านการเงินของธนาคารเครดิต สวิส
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารของสหรัฐและยุโรป
หุ้นเคาะไป คุยไป..SCB
- เราประเมินกำไรสุทธิปี 66 เท่ากับ 4.4 หมื่นล้านบาท ขยายตัว 16.1%YoY จาก
1. NII ที่เติบโตตาม port mix ที่เน้น high yield มากขึ้น โดยเฉพาะส่วนของ CardX (Yield>15%) และ AutoX (Yield>20%) ที่จะหนุนทั้งการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ย ขณะที่ CoF ปรับเพิ่มขึ้นตาม โดยหลักมาจากต้นทุนการปล่อยสินเชื่อสูงขึ้น และเงินนำส่ง FIDF ที่กลับมาสู่ระดับปกติ ด้าน NIM ขยับขึ้นสู่ระดับ 3.5%
2. Non-NII คาดว่าขยายตัว 7.7%YoY จากการกลับมาฟื้นตัวของธุรกิจ wealth และการ cross-selling ขยายผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่มเติมหนุนการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม
3. Credit cost ที่ระดับ 143 bps ซึ่งมากกว่าเป้าที่ให้มา (120-140 bps) จากการขยายพอร์ทไปยังกลุ่มที่ high yield มากขึ้นกว่าเดิม ส่วน NPLs ratio อยู่ที่ 3.6% ด้าน NPLs coverage ปรับลงเหลือ 150.5%
- สำหรับแนวโน้ม 1Q66 มองว่าขยายตัวเด่น QoQ จาก NII ที่ดีขึ้น ตามแนวโน้มสินเชื่อที่ยังขยายตัว Loan yield ที่สูงขึ้น และ C/I ที่ลดลง รวมถึงการตั้งสำรองที่ลดลง ขณะที่ YoY ทรงตัวค่อนไปทางบวกเล็กน้อย โดยมีการปรับขึ้นของ CoF เป็นปัจจัยกดดัน
- ในเชิงกลยุทธ์ SCB ประกอบธุรกิจที่เป็นมากกว่าธนาคารดั้งเดิม พัฒนาการของธุรกิจมีความน่าสนใจ และมองว่า Downside risk เริ่มจำกัด และราคาซื้อขายปัจจุบัน Laggard กลุ่ม และ SET Index อยู่พอสมควร นอกจากนี้ยังประกาศจ่ายปันผลสูงกว่าที่คาดมาที่ 5.19 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield สูงถึง 5.1% (รวมงวดปี 65 จ่ายปันผลทั้งสิ้น 6.69 บาท/หุ้น คิดเป็น Div. yield ที่ 6.6%) ขึ้น XD วันที่ 17 เม.ย.
- แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 123.50 บาท อิง PBV 0.85 เท่า (GGM: LT ROE 8.9%, LT growth 3.0%)