เปิดสูตรโตไม่หยุด…ฉุดไม่อยู่ “แป้งระงับกลิ่น เต่าเหยียบโลก-ชานมไข่มุก นิชิ” เชื่อมั่นในแบรนด์-ออกโปรดักท์ตื่นเต้น-มีสตอรี่ที่มา สร้างชื่อสุดปังในเซเว่นฯ
สำหรับ SME แล้ว การนำสินค้าเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรดเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) จึงได้จับมือ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่นและเซเว่น เดลิเวอรี่ เดินหน้าจัดกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในปีแรก เพื่อปั้นผู้ประกอบการ SME ศักยภาพเข้าสู่ตลาดโมเดิร์นเทรด พร้อมสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน
ทั้งนี้ ภายในงานเปิดตัวกิจกรรมได้เชิญผู้ประกอบการจาก 2 แบรนด์ดังที่มีความต่างของสินค้ากันอย่างสุดขั้วมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ พร้อมเปิดสูตรความสำเร็จ แบรนด์หนึ่งถือเป็นน้องใหม่ในตลาดที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งแรก โดยมีการนำความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาสินค้าและสร้างชื่อจนฮอตฮิตติด Top Chart เซเว่นฯไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับเครื่องดื่มชานมไข่มุก “นิชิ” (NICHI) ส่วนอีกแบรนด์ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 27 ปี แต่แรงยังดีไม่มีตก ด้วยยอดขายปี 2565 กว่า 100 ล้านบาท นั่นก็คือ แป้งระงับกลิ่นกายธรรมชาติ “เต่าเหยียบโลก”
“นิชิ” จับตาพฤติกรรม 3T ผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์
ปัจจุบัน ชานมไข่มุก กลายเป็นเครื่องดื่มที่ผู้บริโภคมีความต้องการอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างอัดกลยุทธ์ดึงกำลังซื้อ ขณะที่ผู้ประกอบการรายกลางและรายเล็กก็ต้องหาช่องว่างทางการตลาด เพื่อสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก แต่สำหรับเครื่องดื่มชานมไข่มุก “นิชิ” สามารถสร้างแบรนด์และสินค้าให้เป็นที่รู้จักได้ในเวลาไม่นาน
แคร์-ณัฐรดา ศิริสุคนธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท คุริโตะ ฟูดส์ จำกัด เจ้าของชานมไข่มุก แบรนด์ นิชิ เล่าให้ฟังว่า เริ่มนำสินค้าเข้าตลาดโมเดิร์นเทรดในปี 2565 โดยเข้าที่เซเว่นฯ เป็นที่แรก เพราะมองว่า สินค้ามีคุณภาพ แต่ราคาไม่สูง กลุ่มลูกค้าหลักคือคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ที่ชื่นชอบความสะดวกและรักสุขภาพ ซึ่งเซเว่นฯ เป็นช่องทางจำหน่ายที่ตอบโจทย์ที่สุด และมีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ง่าย จึงเข้าไปขอรับคำปรึกษาจากทีมงานของเซเว่นฯ ซึ่งได้รับคำแนะนำที่ดีมาโดยตลอด และได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม DIPROM MOVE TO MODERN TRADE ในครั้งแรก ทำให้ได้นำความรู้ที่ได้รับกลับมาพัฒนาสินค้า โดยปรับแพ็กเก็จจิ้งให้มีความแข็งแรงและโดดเด่นสะดุดตา เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจ
นอกจากนี้ยังต้องศึกษาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในปีนี้คือ พฤติกรรม 3Tได้แก่ 1.Trust ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องของภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และดีไซน์ มากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของคุณภาพเท่านั้น 2.Try ผู้บริโภคชอบทดลองสิ่งใหม่ ผู้ประกอบการควรออกสินค้าใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อสร้างความน่าสนใจ น่าตื่นเต้นให้กับแบรนด์ และ 3.Trace ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับที่มาที่ไปของสินค้า ข้อมูลโดยละเอียดของสินค้ากลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริโภคสนใจอยากรู้ เช่น วัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต ไปจนถึงข้อมูลการขนส่งไปจนถึงมือลูกค้า ซึ่งทางเราเองก็นำพฤติกรรมเหล่านี้มาช่วยในการพัฒนาสินค้า ทำให้แบรนด์และสินค้าเป็นที่รู้จักในเวลาอันรวดเร็ว
“เต่าเหยียบโลก” รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ปรับแพ็กเก็จจิ้ง ดันยอดขายพุ่ง
เมื่อเอ่ยชื่อ “เต่าเหยียบโลก” สาย Content Online ต้องรู้จักเป็นอย่างดี เพราะโด่งดังมาจากโลกโซเซียล นพวิทย์ จันทิพย์วงษ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ไทย เฮิร์บ เอนเตอร์ไพรซ์ จำกัด ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแป้งระงับกลิ่นกายธรรมชาติ “เต่าเหยียบโลก” เล่าย้อนความให้ฟังว่า เดิมทำการตลาดผ่านช่องทางค้าปลีกแบบส่งตรงถึงมือผู้บริโภค กระทั่งลูกค้าที่ได้ใช้นำไปพูดถึงในโลกโซเซียล ทำให้มีความต้องการสินค้าจำนวนมาก ซึ่งช่องทางจำหน่ายที่จะช่วยกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคได้เร็วที่สุดคือ โมเดิร์นเทรด และ เซเว่นฯ ก็ตอบโจทย์ดังกล่าว จากเดิมยอดขายอยู่ที่ปีละ 2-3 ล้านบาท พอได้เข้ามาจำหน่ายที่เซเว่นฯ ยอดขายพุ่งสูงขึ้นเกือบเท่าตัวเป็น 5 ล้านบาท และเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง
กระทั่งเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้บริโภคอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย ส่งผลให้ยอดขายลดลง โดยในปี 2564 มียอดขาย 85 ล้านบาท ทำให้ตัดสินใจรีแบรนด์และปรับโฉมแพ็กเก็จจิ้งใหม่ให้มีความทันสมัย โดยออกแบบให้ฝาติดกับขวดเพราะจากเดิมฝากับขวดจะแยกกัน รูปทรงบรรจุภัณฑ์เป็นทรงมน พร้อมปั๊มชื่อแบรนด์ลายนูนบนขวด เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า เพิ่มสีสันและกลิ่นใหม่ ๆ รวมทั้งมีสินค้าในรูปแบบรีฟิล เพื่อตอบโจทย์กระแสรักษ์โลก ลดขยะ ควบคู่กับการทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก
“หลังการรีแบรนด์และปรับเปลี่ยนแพ็กเก็จจิ้ง ทำให้ในปี 2565 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 116 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากช่องทางโมเดิร์นเทรดมากกว่า 70% แสดงให้เห็นว่า โมเดิร์นเทรด เป็นตลาดที่สำคัญมาก ที่จะช่วยให้ธุรกิจมีการเติบโต รวมทั้งบริษัทไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเองอยู่สมอ โดยต้องพัฒนาบนพื้นฐานความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ อย่าคิดว่าสินค้าที่อยู่มานานในตลาดจะไม่สามารถโตได้ ขอเพียงแค่อย่าหยุดที่จะก้าวต่อไป โดยยังคงต้องรักษาสิ่งที่ดีเอาไว้”
ตลาดโมเดิร์นเทรด ถือเป็นช่องทางการตลาดที่สำคัญของธุรกิจ SME ที่ผู้ประกอบการเลี่ยงไม่ได้ หากต้องการที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต สำหรับผู้ประกอบการSME ที่ต้องการคำแนะนำในการเข้าตลาดโมเดิร์นเทรด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานภาครัฐหรือเอกชนที่เปิดให้บริการ หรือที่ ศูนย์ 7 สนับสนุน SME โทร. 02-826-7750ทุกวันจันทร์–ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น. Email : 7smeinfo@cpall.co.th