Our View? “รุ่นใหญ่ใจต้องนิ่ง”
คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,543 / 1,538 และแนวต้านที่บริเวณ 1,570 / 1,575 เรามองตลาดจะเริ่มผ่อนคลายความกังวลจากวิกฤตธนาคารในสหรัฐและยุโรปบ้าง หลังจากที่เมื่อวันนี้ UBS สามารถบรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อกิจการของ Credit Suisse (Cs) ในวงเงิน 3.3 พันล้านดอลลาร์ โดยที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) จะให้เงินกู้ยืมเพื่อสนับสนุนที่ราว 1.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มองเป็นการช่วยเหลือเพื่อป้องกันการล้มละลายของ CS และจะช่วยคลายความกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตธนาคารในฝั่งยุโรป คาดจะกระตุ้นความเชื่อมั่นในระบบธนาคารยุโรปกลับขึ้นมาได้บ้าง เป็นบวกต่อทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ประเด็นผู้ถือตรา สารทางการเงินที่นับเป็นกองทุนสำรองส่วนเพิ่มชั้นที่ 1 (Additional Tier 1, AT1) ของ CS มีแนวโน้มจะไม่ได้รับเงินชดเชยในข้อตกลงที่ UBS เข้าซื้อ CS เรามองจะส่งผลกระทบต่อระบบธนาคารยุโรปค่อนข้างจำกัดมาก มองเป็นเพียง Noise เข้ารบกวนบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น คาดตลาดจะผ่อนคลายได้ในระยะถัดไป รวมทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ประกาศความร่วมมือกับธนาคารกลางแคนาดา (BOC), ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOI), ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบการเงิน ผ่านธุรกรรม U.S. dollar Swap Line มองเป็นการสัญญาณพร้อมเข้าแทรกแซงวิกฤตธนาคารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบธนาคารสหรัฐ-ยุโรปกลับมาอีกครั้ง เพื่อให้ตลาดผ่อนคลายความกังวลมากขึ้น
ขณะที่เรามองตลาดจะติดตามประชุม FOMC ของ FED อย่างใกล้ชิดเช่นกัน โดยเราคาดว่า FED จะขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% และคาดอาจจะเริ่มมีการส่งสัญญาณถึงการลดอัตราดอกเบี้ยลงเร็วกว่าที่ ตลาดคาดไว้ หลังจากที่ผลของการใช้ยาแรงในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED เริ่มส่งผลกระทบเข้าสู่ระบบธนาคารของ สหรัฐ มองจะเป็นปัจจัยกดดันทิศทาง Dollar Index อ่อนตัวลง และถือเป็นการเพิ่มกระแสเงินทุนส่วนเกินทางอ้อมเข้าสู่ตลาด หนุนความน่าสนใจในตลาดในภูมิภาครวมถึงหุ้นไทย
รวมทั้งเรายังมีมุมมองเชิงบวกอ่อนๆ ต่อการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสํารองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลง 0.25% ให้ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ RRR หลังการปรับลดสำหรับสถาบันการเงินของจีนอยู่ที่ระดับราว 7.6% มีผลตั้งแต่วันที่ 27 มี.ค. เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบธนาคาร เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ คาดจะสามารถช่วยสร้างกระแสเงินทุนส่วนเกินทางอ้อมต่อตลาดในภูมิภาคบ้างเล็กน้อย
สําหรับปัจจัยในประเทศ เรายังคงมองตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากการ Panic ในวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปมากเกินไป ขณะที่หุ้นในกลุ่มธนาคารฯ (KBANK, SCB, BBL, KTB และ TTB) ที่โดนขายออกมามากส่วนใหญ่คาดมาจากแรง Panic ของตลาด โดยเรายังมุมมองธนาคารพาณิชย์ของไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยระบบธนาคารไทยในช่วงสิ้นปี’65 มีสภาพคล่อง (LCR) กว่า 197.3% และมีอัตราตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สูงถึง 19.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% อีกทั้ง ธปท. รายงานปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดจะได้รับผลกระทบที่จํากัดมากๆ จากวิกฤตรนาคารในสหรัฐ-ยุโรป เรามองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมเมื่อปรับตัวลงสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนออกไปก่อน หรือสะสมหุ้นในกลุ่ม Defensive อาทิ หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) ขณะที่เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่เมื่อวานนี้ราชกิจจานุเบกษายุบสภา ส่งผลให้ กกต. ต้องประกาศวันเลือกตั้งแต่รับสมัคร ส.ส. ภายในวันที่ 25 มี.ค. คาดจะได้วันเลือกตั้งในช่วงต้นเดือน พ.ค. ไม่เกินวันที่ 7 พ.ค. มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO) และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC และ CK)
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้ “MAKRO”
กลยุทธ์ ซื้อเมื่ออ่อนตัว แนวรับ 37.00 / 36.50 Target 40.00 / 41.50 Stop <35.75