MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้
SETI ปิดที่ 1,555.45 จุด ลดลง 8.22 จุด (0.53%) มูลค่าการซื้อขาย 62,843.04 ล้านบาท ปรับตัวลงจากการ write off ตราสารหนี้ของธนาคารเครดิต สวิส แต่มีปัจจัยบวกเรื่องยุบสภา ทำให้จากที่ดัชนีลงไปลึกถึง 20 จุดหลังจากประกาศยุบสภาจึงเด้งขึ้นมาลดช่วงลบไปได้บ้าง
Research Highlight: จับตาประชุมเฟด/มุมมองการลงทุนของเราหลังยุบสภา
1. จับตาการประชุมเฟด 21-22 มี.ค.นี้
- CME EedWatch ระบุว่า ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26.2% ที่เฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่กรอบ 4.75% – 5.00%
- ด้าน Terminal rate ตลาดประเมินว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.00-4.25% นั่นคือตลาดประเมินว่าในการประชุม FOMC ในรอบนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
- ในเชิงกลยุทธ์เรามองว่าเฟดจะให้ความสำคัญกับวิกฤตของภาคธนาคารในปัจจุบันก่อน เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบและป้องกันไม่ให้ลุกลามไปยัง real sector ส่วนภาพเงินเฟ้อเรามองว่ายังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวลง จากฐานที่สูงในช่วงมี.ค.-ก.ค. 65 CPI สหรัฐฯ อยู่ในช่วง 7.9-9.1%
2. ยูบีเอส’ ปิดดีลคุม ‘เครดิต สวิส’ ความกังวลถัดมาเป็นเรื่องของ AT1
- ธนาคารยูบีเอสบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการเครดิต สวิส ในวงเงิน 3 พันล้านฟรังก์สวิส (3.23 พันล้านดอลลาร์) ส่งผลให้ CDS ของ CS ปรับตัวลงอย่างมีนัยยะ
- ขณะที่ตลาดมีความกังวลเรื่อง AT1 หลังผู้ถือ AT1 ของเครดิตสวิส (CS) ไม่ได้รับสิทธิในการเรียกร้องเลย (มูลค่า 1.7 หมื่นล้านเหรียญ) ทำให้เกิดแรงขายในกลุ่มธนาคารออกมา ในลักษณะ panic sell
- แต่ในเชิงพื้นฐานเราประเมินว่ามีผลกระทบที่จำกัดเนื่องจาก AT1 ของตลาดจะปรับตัวลง แต่ธนาคารไทยเป็นผู้ออกตราสาร ไม่ใช่ผู้ถือตราสาร จึงไม่ต้อง M2M รวมถึงโดยเฉลี่ยธนาคารไทยมี AT1 ราว 3.0-3.5% ของเงินกองทุน ส่วนการลงทุนใน AT1 ของ CS ยังไม่มี บจ.ไหนที่ถือตราสารดังกล่าวในทางตรง
- ในเชิงกลยุทธ์เราแนะนำ ทยอยสะสมกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลงจากปัจจัยภายนอกมากกว่าเชิงพื้นฐาน แนะนำ BBL KBANK KTB
3. มุมมองของเราหลัง ประกาศยุบสภา
- นายกฯ ประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการ แม้ว่าในวันที่ 23 มี.ค. นี้จะสิ้นสุดรัฐบาลปัจจุบัน แต่เรามองว่าเป็นไปตามเกมการเมือง เนื่องจากเป็นการเปิดโอกาสให้ ส.ส. ที่อยากจะย้ายพรรคมีเวลาตัดสินใจอีก 15 วัน ซึ่งการยุบสภาทำให้ ส.ส. สามารถสังกัดพรรคไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่ถ้าปล่อยให้ครบกำหนด และกกต. ประกาศเลือกตั้ง ส.ส. จะต้องสังกัดพรรค 90 วัน ซึ่งไม่ทันวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. นี้ อย่างไรก็ดี วันนี้ยังมีการประชุม ครม. แต่ไม่มีอำนาจอนุมัติโครงการใดๆ เป็นการแจ้งเพื่อทราบเท่านั้น
- สําหรับผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ขานรับในเชิงบวก เข้าสู่ Election rally โดยเฉพาะกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก ธนาคาร อสังหาฯ-ก่อสร้าง ที่มักจะให้ผลตอบแทนเด่น
- ทั้งนี้เราประเมินการจัดตั้งรัฐบาล ในกรณีที่ดีต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ เพื่อไทย + พลังประชารัฐ + รวมไทยสร้างชาติ ซึ่งคาดหวัง SET ปรับตัวขึ้น 1.5-3.0% (1570-1600 จุด)
Investment Strategy
- SET มีโอกาสปรับตัวขึ้นตามภูมิภาค คลายความกังว AT1 ที่ธนาคารไทยได้รับผลกระทบในเชิง Sertiment มากกว่าปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงการประชุมเฟด ที่มองว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่วนปัจจัยในประเทศอย่างการประกาศยุบสภาวานนี้จะเป็น turning point ของตลาดให้ปรับตัวขึ้น สะท้อนผ่านค่าเงินบาทที่เริ่มแข็งค่ามาที่ 34 +/- บาท โดยในช่วงเวลานี้ถึงวันเลือกตั้งกลุ่ม Election rally คาดว่าจะ ปรับตัวโดดเด่น
- คาดแกว่งตัว sideway/sideway up ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1560-66 ผ่านยืนจะเป็นสัญญาณยืนยันกลับตัวระยะสั้น แนวรับ 1550/1538 ไม่ควรต่ำกว่าลงมา
- ในเชิง Valuation ของ SET ประเมินว่าเริ่มมี upside รับรู้ปัจจัยลบภายนอกไปพอสมควรแล้ว
- แนะนำ Selective buy กลุ่ม Defensive SISB DMT BDMS BH ADVANC THCOM MASTER JMT กลุ่ม Election Rally ADVANC KBANK BBL SC SIRI WHA STEC CPALL EA
Core Portfolio
- EA CPN AOT AAV KFENS50-A KFACHINA-A และ AFMOAT-HA
หุ้นเคาะไป คุยไป..SC
- Recap ผลงานปี 65 บริษัทสามารถเปิดโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่ารวม 3.74 หมื่นล้านบาท ซึ่งกว่า 70% เป็นราคาบ้านที่สูงกว่า 70% ขณะที่ภายในปียังสามารถปิดการขายโครงการแนวราบได้ถึง 23 โครงการ โดยแบรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด ได้รับการตอบรับที่ดีมาก นอกจากนี้ยังมีโครงการคอนโดเข้ามาหนุน ด้วยยอดขายเกือบ 5 พันล้านบาท ผ่านการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ Reference สาทร-วงเวียนใหญ่ รวมถึงยังสามารถปิดการขาย 2 คอนโดคุณภาพ ได้แก่ เซ็นทริค รัชโยธิน และ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น อีกด้วย ด้านภาพทั้งปีมี Presales 2.44 หมื่นล้านบาท (แนวราบ 1.96 หมื่นล้านบาท) เป็นรายได้รวม 2.15 หมื่นล้านบาท (+11%YoY) และกำไรสุทธิ 2.55 พันล้าน บาท (+24%YoY)
- แนวโน้มปี 66 บริษัทตั้งเป้ายอด Presales 3 หมื่นล้านบาท (แนวราบ 65%) และเป้ารายได้รวม 2.5 หมื่นล้านบาท (แนวราบ 75%, Condo 20% และ Engine II 5%) ผ่านการเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการมูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท (แนวราบ 22 โครงการ) โดยใน 1Q จะเปิดโครงการใหม่เป็นแนวราบ 1 โครงการ Bangkok Boulevard Signature Westgate มูลค่า 930 ล้านบาท ส่วนภาพรวมรายได้ขายมองว่ายังได้โมเมนตัมบวกจากยอดขายแนวราบต่อเนื่อง รวมถึงมีการโอนโครงการคอนโดต่อเนื่อง อย่างโครงการ The Crest Park Residence โครงการ SCOPE หลังสวน และโครงการ SCOPE พร้อมศรี ขณะที่ปีนี้จะมีรายได้จากธุรกิจโรมแรมเข้ามาจาก YANH ราชวัตร ที่ได้เปิดบริการแล้วช่วง ม.ค.66
Global Markets
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกขานรับข่าวธนาคารยูบีเอสบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการเครดิต สวิส รวมทั้งรายงานที่ว่าเฟด ร่วมมือกับธนาคารกลางอีกหลายประเทศเพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องในระบบการเงิน นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์นี้
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกจากหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน โดยได้แรงหนุนจากการทำข้อตกลงของธนาคารยูบีเอสเพื่อซื้อธนาคาร เครดิต สวิส
(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดบวกจากการดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมัน หลังจากราคาดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือนในระหว่างวัน
(+) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดบวก ได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในภาคธนาคาร