ASL ANALYSIS GUIDE

ประเมิน SET Index คาดแแกว่งตัว sideway/sideway up ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1,580-88 หลังผ่านยืนEMA 5-10 วันได้มั่นคงเป็นสัญญาณยืนยันกลับตัวระยะสั้น

ประเด็นการลงทุน
1. จับตาการประชุมเฟด 21-22 มี.ค. นี้
2. ITTHI เข้าซื้อขายวันแรก

วันนี้เคาะ OR คำแนะนำซื้อ ที่ราคา 28.52 บาท อิง PE 24.6 เท่า (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย SD-0.5 ย้อนหลัง 1 ปี) ประเมินกำไรสุทธิปี 66 และปี 67 เท่ากับ 14,736 ล้านบาท (+42%YoY) และ 17,598 ล้านบาท (+19.4% YoY) โดยเรามองว่า OR จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาด

MARKET STRATEGY

สรุปตลาดวานนี้: SET ปิดที่ 577.18 จุด เพิ่มขึ้น 21,73 จุด (+140%) มูลค่าการซื้อขาย 53,360.42 ล้านบาทดีดขึ้นมาได้แรง หลังปัจจัยลบผ่านไปแล้ว ทั้งวิกฤติแบงก์และการเมืองในประเทศที่ชัดเจนขึ้น

Research Highlight: จับตาประชุมเฟด/ตลาดอยู่ในจุดที่สะสมได้ ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1588

1. จับตาการประชุมเฟด21-22 มี.ค. นี้

    • CME FedWatch Tool ระบุว่า ตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาส 10.7% ที่เฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ครั้งนี้ ขณะที่อีก 89.3% คาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่กรอบ 4.75% -5.00%
    • ด้าน Terminal rate สิ้นปีนี้ ตลาดปรับเพิ่มเป็นระดับ 4.25-4.50% โดยประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนพ.ค. ไปสู่ระดับ 5.00-5.25% หลังคลายความกังวลในวิกฤตตธนาคารที่จะไม่ลุกลามไปยัง real sector
    • ทั้งนี้ตลาดติดตามความเห็นของพาวเวลต่อทิศทางเงินเฟ้อ และปัญหาของภาคธนาคารที่เกิดขึ้น หลังล่าสุด Fed ได้อัดฉีดงบดุลเพิ่มเข้ามาในช่วงที่เกิดวิกฤตธนาคาร
    • ส่วนภาพเงินเฟ้อเรามองว่ายังอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวลงจากฐานที่สูงในช่วงมี.ค.-ก.ค. 65 ที่ CPI สหรัฐฯ อยู่ในช่วง 7.9-9.1% อย่างไรก็ดีเป๋าเงินเฟ้อของเฟดอยู่ที่ 2%

2.ITTHI เข้าซื้อขายวันแรก

    • แนวโน้มผลประกอบการปี 65F-68F ประเมินกำไรสุทธิเท่ากับ 19 ล้านบาท (+27.8%YoY), 31 ล้านบาท (+59.2%YoY), 40 ล้านบาท (+32.3%YoY) และ 44 ล้านบาท (+10.0%YoY) คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลียแบบ CAGR ที่ 53.3% ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2564 เติบโตทั้ง 2 ธุรกิจ
    • ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2566 เท่ากับ 4.30 บาท อิง PE 38 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย PE ย้อนหลัง 5 ปี ของ L&E และ TMI โดยเรามองว่าเหมาะสมแม้ว่าขนาดของธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับ middle เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งในแง่ของรายได้และสินทรัพย์ แต่ก็เป็นโอกาสในการเติบโตที่เหนือกว่าคู่แข่งในอนาคต โดยแนวโน้มการเติบโตของกำไร สุทธิเฉลี่ย CAGR ในปี 2565F-68F สูงถึง 53.3% เพิ่มความน่าสนใจในเชิง Valuation ของ ITTHI

Investment Strategy

    • SET คาดแกว่งตัว sideway/sideway up ลุ้นทดสอบแนวต้าน 1580-88 หลังผ่านยืน EMA 5-10 วันได้มั่นคง เป็นสัญญาณยืนยันกลับตัวระยะสั้น แนวรับ 1570-66 ไม่ควรต่ำกว่าลงมาเพื่อคงโมเมนตัมบวก
    • ในเชิง Valuation ของ SET ประเมินว่าเริ่มมี upside รับรู้ปัจจัยลบภายนอกไปพอสมควรแล้ว สะท้อนผ่านนักลงทุนสถาบันในประเทศทีชื้อสุทธิ์ต่อเนื่อง และการออก Trigger fund กันมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงการเมืองระหว่างประเทศที่ยังต้องติดตาม คือ การกดดันการส่งออกชิปของสหรัฐ
    • แนะนำ Selective buy กลุ่ม Big cap. ที่ Laggard HMPRO CPALL CPN AOT KBANK SCB JMT BDMS กลุ่ม Election Rally ADVANC KBANK BBL SC SIRI WHA STEC CPALL EA และเก็งกำไรกลุ่มพลังงานที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น PTTEP OR

Global Markets

( + ) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันวันที่ 2 ในวันอังคาร (21 มี.ค.) เนื่องจากตลาดคลายความวิตกกังวล เกี่ยวกับวิกฤตสภาพคล่องในภาคธนาคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ

( + ) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดปรับตัวขึ้นมากกว่า 1% ในวันอังคาร (21 มี.ค.) โดยหุ้นกลุ่มธนาคารนําตลาดฟื้นตัวขึ้น หลังจากมีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับภาคธนาคาร ขณะที่นักลงทุนมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดความแรงในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินในสัปดาห์นี้

( + ) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันอังคาร (21 มี.ค.) ซึ่งเป็นการปิดในแดนบวกติดต่อกันวันที่ 2 ขานรับข่าวธนาคารยูบีเอสบรรลุข้อตกลงซื้อกิจการเครดิต สวิส ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลว่าวิกฤตการณ์ในภาคธนาคารจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน

( + ) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันอังคาร (21 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไร หลังจากราคาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อวันจันทร์ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลการประชุมการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ ตามเวลาสหรัฐ

หุ้นเคาะไป คุยไป..OR

  • ภาพรวมธุรกิจปี 66 มีมุมมองดีขึ้น ทั้งจากฝั่งของ mobility และ Lifestyle เนื่องจากนโยบายการเปิดประเทศคงมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเข้าสู่สภาวะปกติ ซึ่งการจับจ่ายใช้สอยและการเดินทางภายในประเทศที่จะกลับสู่ระดับปกติ จะดันให้ปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาด อีกทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเพิ่มขึ้น จะช่วยกระตุ้นกิจกรรมการท่องเที่ยวและปริมาณการใช้น้ำมันเจ็ทเพิ่มมากขึ้น โดยผู้บริหารมองว่าราคาน้ำมันปัจจุบันอยู่ในภาวะที่มีเสถียรภาพ และจะหนุนให้ปริมาณการใช้น้ำมันภายในประเทศปี 66 เติบโตได้ 3-4% แม้ว่าสัดส่วนการใช้น้ำมันแทนก๊าซธรรมชาติจะลดลง
  • แผนการขยาย Point of sales ปี 66 คงแผนขยาย cafe amazon 400 สาขา (ภายในประเทศ) 112 (ต่างประเทศ), ปั๊มใหม่ 122 ปั้ม (ภายในประเทศ) และ B2สาขา (ต่างประเทศ), ศูนย์ซ่อม FIT auto 18 สาขา, 500 จุดชาร์จรถไฟฟ้าตามสถานี PT ขณะที่ แผนการ ลงทุน CAPEX ปี66 (22% EV and ptt station, 45% food and bev outlets, 16% global, 17% innovation)
  • ดงคําแนะนําชื้อ ที่ราคา 28.52 บาท อิง PE 24.6 เท่า (ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย SD-0.5 ย้อนหลัง 1 ปี) ประเมินกำไรสุทธิปี 66 และปี 67 เท่ากับ 14,736 ล้านบาท (+42%YoY) และ 17,598 ล้านบาท (+19.4% YoY) โดยเรามองว่า OR จะได้รับประโยชน์จากกิจกรรมการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณขายน้ำมันเร่งตัวกลับสู่ระดับค่าเฉลี่ยก่อนช่วงโรคระบาด ประกอบกับการที่ภาครัฐ พร้อมหารือปรับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลับสู่สภาวะปกติตาม ปี 2563 เฉลี่ยอยู่ที่ 2.00 บาทต่อลิตร จากเดิมที่คุ้มไว้ที่ 1.40 บาท ต่อลิตร อย่างไรก็ตาม ต้องรอกรอบช่วงระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรการแต่นับเป็นปัจจัยบวกแก่ธุรกิจค้าน้ำมัน
- Advertisement -