Our View? “พักสักนิด”
คาดตลาดวันนี้ “ย่อตัว” มองแนวรับที่บริเวณ 1,575 / 1,560 และแนวต้านที่บริเวณ 1,588 / 1,595 เมื่อคืนนี้ผลการประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ตามที่เราและตลาดคาดไว้ จากการที่การจ้างงานยังคงแข็งแกร่ง อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำ และอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง โดย FED ยังคงให้น้ำหนักไปที่การบรรลุเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อระยะยาวที่ระดับ 2.00% ขณะที่ Dot Plot ล่าสุดของ FED หลังการประชุมบ่งชี้ FED มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในระยะถัดไปขึ้นสู่ค่ากลางที่ระดับ 5.10% และจะเริ่มลดลงในปี’67 และ 68 สู่ระดับ 4.3% และ 3.10% ตามลำดับ เราคาดแม้ในช่วงแรงตลาดอาจเผชิญแรงขายระยะสั้นได้บ้าง จากการที่ FED ไม่ได้ส่งสัญญาณเตรียมปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หลังจากที่ระบบธนาคารสหรัฐกำลังประสบปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี เรามองการที่ FED ยังให้ความสำคัญกับการควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก และยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ แต่ส่งสัญญาณถึงวงจรการขึ้นดอกเบี้ยเริ่มเข้าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ทำให้เราคาดว่า FED น่าจะประเมินว่าสถานการณ์วิกฤตธนาคารสหรัฐเป็นปัญหาเพียงระยะสั้น แต่คาดจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง (Hard Landing) อีกทั้งการรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็วเกินไป คาดจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อระยะยาวของสหรัฐปรับตัวลงยาก และจะเกิดปัญหาได้ในระยะยาว ซึ่งเรามองเป็นปัจจัยบวกในระยะกลางมากกว่าปัจจัยลบ มองการอ่อนตัวลงของตลาดเป็นโอกาสในการเข้าสะสมสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่ Dollar Index เช้านี้ยังคงปรับตัวลงล่าสุดอยู่ที่ระดับ 102.5+/- คาดจะหนุนทิศทางค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าลดทอนแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติได้บ้าง
ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน พ.ค. ฟื้นตัวขึ้นปิดที่ระดับ 70.90 ดอลลาร์/ บาร์เรล +1.23 ดอลลาร์ (+1.77%) คาดได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์กลุ่ม OPEC+ จะยังคงมติในการรักษานโยบาย การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันที่ระดับ 2 ล้านบาร์เรล/วัน ต่อไปจนถึงสิ้นปี’66 แม้ว่าเศรษฐกิจจะอยู่กับความไม่ แน่นอนเกี่ยวกับวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรป รวมทั้งการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐช่วยหนุนทิศทางราคาน้ำมันฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้เพิ่มเติม คาดจะส่งผลให้ราคาพลังงาน-หุ้นในกลุ่มพลังงานรีบาวด์ประคองตลาดได้บ้าง
สําหรับปัจจัยในประเทศ เรายังคงมองตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากการ Panic ในวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปมากเกินไป เรายังมุมมองธนาคารพาณิชย์ของไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยระบบธนาคารไทยในช่วงสิ้นปี’65 มีสภาพคล่อง (LCR) กว่า 197.3% และมีอัตราตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สูงถึง 19.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% อีกทั้ง ธปท. รายงานปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดจะได้รับผลกระทบที่จํากัดมากๆ จากวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรป เรามองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมเมื่อปรับตัวลงสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ อีกทั้ง ธปท. ประกาศขยายอายุมาตรการฟื้นฟูสินเชื่อ และโครงการพักทรัพย์–พักหนี้ ออกไปอีก 1 ปี คิดเป็นวงเงินกว่า 2.7 แสนล้านบาท เพื่อเสริมการฟื้นตัวต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย มองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีโอกาสจะตั้งสำรองหนี้ลดลงตั้งแต่ช่วงปีนี้ อีกทั้งเรายังคงชอบหุ้นในกลุ่ม Defensive อาทิ หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาท ในระยะต่อไป รวมทั้งราคาพลังงานที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่เมื่อวานนี้ กกต. ประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พ.ค. มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO) และหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC และ CK)
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้ “CK”
กลยุทธ์ รอซื้อเมื่ออ่อนตัว แนวรับ 19.30 / 18.80 Target 21.00 / 22.00 stop <18.50