Our View? “ทดสอบแนวต้าน”
คาดตลาดวันนี้ “Sideway Up” มองแนวรับที่บริเวณ 1,590 / 1,580 และแนวต้านที่บริเวณ 1,600 / 1,610 คาดตลาดจะได้รับ Sentiment เชิงบวกจากตลาดต่างประเทศ หลังจากการที่เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐกล่าวแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการจัดสรรงบประมาณของสภาคองเกรสระบุกระทรวงการคลังเตรียมที่จะเข้าแทรกแซงระบบธนาคารสหรัฐเพื่อป้องกันและสร้างความเชื่อมั่นจ่อเงินฝากของชาวอเมริกา รวมทั้งคาดจะมีการออกมาตราใหม่เพิ่มเติม มองเป็นปัจจัยกระตุ้นความเชื่อมั่นให้กับตลาด อีกทั้งเรายังคงมุมมองการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในเดือน มี.ค. ที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% เป็นการให้ความสำคัญกับการควบคุมเงินเฟ้อเป็นหลัก อย่างไรก็ดี แต่ส่งสัญญาณถึงวงจรการขึ้นดอกเบี้ยเริ่มเข้าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว โดย Dot Plot ล่าสุดของ FED หลังการประชุมบ่งชี้ FED มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในระยะถัดไปขึ้นสู่ค่ากลางที่ระดับ 5.10% และจะเริ่มลดลงในปี’67 และ 68 สู่ระดับ 4.3% และ 3.10% ตามลำดับ ท่าให้เราคาดว่า FED น่าจะประเมินว่าสถานการณ์วิกฤตธนาคารสหรัฐเป็นปัญหาเพียงระยะสั้นแต่คาดจะไม่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยรุนแรง (Hard Landing) อีกทั้งการรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็วเกินไปคาดจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อระยะยาวของสหรัฐปรับตัวลงยาก และจะเกิดปัญหาได้ในระยะยาว ซึ่งเรามองเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงในระยะกลาง
ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. แกว่งตัวค่อนข้างผันผวน เมื่อคืนนี้ปิดที่ระดับ 69.96 ดอลลาร์/บาร์เรล -0.94 ดอลลาร์ 11.33% คาดจากการที่รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐ รายงานการซื้อกลับน้ำมันเพื่อทดแทนคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐ (SPR) ที่ระบายออกมาช่วงก่อนหน้าอาจใช้เวลาหลายปี ขณะที่คาดการณ์กลุ่ม OPEC+ จะยังคงมติในการรักษานโยบายการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันที่ระดับ 2 ล้านบาร์เรล/วัน ต่อไปจนถึงสิ้นปี’66 แม้ว่าเศรษฐกิจจะอยู่กับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรป คาดจะกดดันทิศทาง-จํากัด Upside ของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้บ้าง
สำหรับปัจจัยในประเทศ เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการขายหุ้นไทยและเริ่มพลิกกลับมาซื้อแล้ว หลังจากค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง รวมทั้งเรายังคงมองตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากการ Panic ในวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปมากเกินไป เรายังมุมมองธนาคารพาณิชย์ของไทยมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งโดยระบบธนาคารไทยในช่วงสิ้นปี’65 มีสภาพคล่อง (LCR) กว่า 197.3% และมีอัตราตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สูงถึง 19.4% สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 8.5% อีกทั้ง ธปท. รายงานปริมาณธุรกรรมโดยรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยใน Fintech และ Startup ทั่วโลกมีน้อยกว่า 1% ของเงินกองทุนของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดจะได้รับผลกระทบที่จำกัดมากๆ จากวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรป เรามองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมเมื่อปรับตัวลงสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ อีกทั้ง ธปท. ประกาศขยายอายุมาตรการฟื้นฟูสินเชื่อและโครงการพักทรัพย์–พักหนี้ออกไปอีก 1 ปี คิดเป็นวงเงินกว่า 2.7 แสนล้านบาท เพื่อเสริมการฟื้นตัวต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย มองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารที่มีโอกาสจะตั้งสำรองหนี้ลดลงตั้งแต่ช่วงปีนี้ อีกทั้งเรายังคงชอบหุ้นในกลุ่ม Defensive อาทิ หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทในระยะต่อไป รวมทั้งราคาพลังงานที่อ่อนตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่เมื่อวานนี้ กกต. ประกาศวันเลือกตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 พ.ค. มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC และ CK) และกลุ่มสื่อโฆษณา (PLANB และ VGI)
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนำวันนี้ “PLANB”
กลยุทธ์ แนวรับ 8.70 / 8.60 Target 9.20 / 10.00 Stop <8.45