Our View? “อยู่กับเรื่องเดิมๆ”
คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,590 / 1,580 และแนวต้านที่บริเวณ 1,600 / 1,610 เรามองตลาดยังคงขาดปัจจัยใหม่เข้าสนับสนุนการปรับตัวขึ้นได้ดี โดยคาดตลาดยังคงในํ้าหนักต่อปัญหาวิกฤตธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปที่คาดว่าจะผ่อนคลายลงต่อเนื่อง จากการที่ First Citizens BancShares สามารถบรรลุข้อตกลงในการเข้าซื้อ Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งครอบคลุมถึงเงินฝากและเงินกู้ทั้งหมดของ SVB ช่วยผ่อนคลายความกังวลการลุกลามของปัญหาดังกล่าว อีกทั้งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ระดับภูมิภาคหลายท่านได้ออกมาแสดงความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารสหรัฐว่ามีสภาพคล่องที่เพียงพอ ทำให้ตัดสินใจปรับขึ้นอัตรา FED ดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดย FED เตรียมที่จะรับประกันเงินฝากทั้งหมดในธนาคารสหรัฐและพร้อมที่จะใช้ เครื่องมือช่วยเหลือธนาคารทุกขนาดหากมีความจําเป็นเพื่อป้องกันระบบการเงิน มองเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบธนาคารในสหรัฐ หนุนการฟื้นตัวขึ้นต่อของหุ้นในกลุ่มธนาคารสหรัฐ รวมทั้งทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยง สอดคล้องกับทิศทางดอลลาร์สหรัฐที่เริ่มอ่อนตัวลงอีกครั้ง ล่าสุด Dollar Index ปรับตัวลงอยู่ที่ระดับ 102.8 รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) เริ่มดีดตัวขึ้น เช้านี้รุ่นอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 3.5223% (+4.33%) สะท้อนตลาดเริ่มขายสินทรัพย์ปลอดภัยกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยง (Risk-On) มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ต่อ
ในส่วนของการเคลื่อนไหวของตลาดน้ำมัน ราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน พ.ค. รีบาวด์กลับขึ้นได้ดีปิดที่ระดับ 72.81 ดอลลาร์/บาร์เรล +3.55 ดอลลาร์ (+5.13%) คาดได้รับแรงหนุนจากผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ธนาคารในสหรัฐ-ยุโรปช่วยหนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยง-รวมถึงราคาน้ำมันดิบได้เช่นกัน อีกทั้งคาดรายงานอิรักระงับการส่งออกน้ำมันบางส่วนจากเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกของน้ำมันอยู่ที่ราว 4.5 แสนบาร์เรล/วัน หรือราว 0.50% ของอุปทานน้ำมันโลก คาดจะกระตุ้นความกังวลอุปทานน้ำมันดิบในระยะสั้นติงตัวได้บ้าง หนุนทิศทางราคาน้ำมัน-หุ้นในกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหนุนตลาดได้
สำหรับปัจจัยในประเทศสัปดาห์นี้เราให้น้ำหนักต่อการประชุม กนง. ในวันที่ 29 มี.ค. นี้ คาดจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 1.75% จากการที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือกรอบเป้าหมายที่ 2.00% (ล่าสุดเดือน ก.พ. อยู่ที่ระดับ 3.8%) รวมทั้งเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาพการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง จะยังเป็นเหตุผลหลักให้ กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ต่อ อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า กนง. มีโอกาสส่งสัญญาณถึงการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในรอบถัดไป จากการที่อัตราเงินเฟ้อของไทยเริ่มชะลอตัวลงต่อเนื่องตามทิศทางราคาพลังงานที่ลดลง รวมทั้งความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูงทำให้ กนง. น่าจะส่งสัญญาณดังกล่าว เรามองเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย อีกทั้งคาดจะหนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าได้ต่อ ลดทอนแรงขายของนักลงทุนต่างชาติและเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL, KTB และ SCB) รวมทั้ง เรายังคงชอบหุ้นในกลุ่ม Defensive อาทิหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM และ GULF) ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทในระยะต่อไป ขณะที่ประเด็นในการเลือกตั้งของไทยเดือน พ.ค. มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC และ CK) และกลุ่มสื่อโฆษณา (PLANB และ VGI) ขณะที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ททท. รายงานภาพรวมการท่องเที่ยวไทย 1Q66 คาดจะออกมาดีกว่าที่ประเมินไว้ค่อนข้างมาก โดยคาดตลอดทั้งปีอาจมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยกว่า 25-30 ล้านคน มากกว่าที่เราและภาครัฐคาดไว้ก่อนหน้า มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-สายการบิน (AAV, BA, SPA, MINT, CENTEL และ ERW) รวมทั้งเราคาดว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสเป็นเป้าหมายในการทำ Window Dressing ในช่วงของการปิดไตรมาส 1 สิ้นเดือนนี้ คาดจะหนุนการฟื้นตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้ต่อ
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้ “KBANK”
กลยุทธ์ แนวรับ 130.50 / 128.00 Target 141.00 / 145.00 Stop <127.50