KBank Private Banking ชี้ราคาตราสารหนี้มีโอกาสปรับขึ้นต่อ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน 2 กองทุน ภายใต้ธีม Bonds are Back สร้างผลตอบแทน – กระจายความเสี่ยง – รับมือความไม่แน่นอน
KBank Private Banking ชี้โอกาสดีในตลาดตราสารหนี้และพันธบัตร จากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยที่กำลัง จบลง ส่งผลให้ดัชนีพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พลิกกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง หลังจากที่ปรับตัวลงมาแรงในปีก่อน เชื่อว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจให้กับนักลงทุน พร้อมแนะให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ ภายใต้ธีม Bonds are Back ที่กระจายความเสี่ยงผ่านตราสารหนี้และพันธบัตรหลากหลายประเภททั่วโลก เพื่อรับมือกับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
นางสาวศิริพร สุวรรณการ Senior Managing Director, Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับความสนใจมากนักจากนักลงทุน เนื่องจากให้ผลตอบแทนไม่มากเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยประคับประคองพอร์ตการลงทุนในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือในช่วงที่มีวิกฤต อย่างไรก็ดี ในปีนี้ Bonds are Back เป็นธีมการลงทุนที่นักลงทุนควรหันมาให้ความสนใจ จากการที่ธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก อย่าง Fed มีนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วและแรงเพื่อรับมือเงินเฟ้อ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับตัวขึ้นแรงตามทั้งสหรัฐฯ และไทย ทั้งนี้ KBank Private Banking คาดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะสิ้นสุดในปีนี้ ดังนั้นโอกาสที่ดอกเบี้ยในตลาดจะทรงตัวหรือปรับตัวลงมีมากกว่าที่จะปรับเพิ่มขึ้นต่อ ความเสี่ยงจากประเด็นด้านดอกเบี้ยสำหรับตราสารหนี้ก็จะลดลง
ช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตลาดตราสารหนี้เริ่มฟื้นตัวขึ้นและมีอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจ หลังเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายและเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มส่อแววชะลอตัวลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีปรับลงในเดือนมีนาคมกว่า 1% จากระดับสูงสุดที่ 5.07% ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 12 ปีเลยทีเดียว ส่วนทิศทางตลาดตราสารหนี้ในปี 2566 มีโอกาสปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของ Fed หลังจากนี้มีทิศทางที่จะชะลอความเร็วลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ปัจจุบันอยู่ที่ 4.75-5.00%
ดังนั้น KBank Private Banking จึงมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้โดย 1) ควรกระจายการลงทุนตราสารหนี้ที่หลากหลาย ทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน ที่จะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นที่ใกล้จะสิ้นสุด เช่น กองทุนเปิดทีเอ็มบี อีสท์สปริง โกลบอล สมาร์ท บอนด์ (TTB-ES-GSBOND) 2) แนะนำเพิ่มการลงทุนใน Contingent Convertible Bond (CoCos Bond) หรือตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน ที่มีโอกาสที่ได้รับผลตอบแทนที่ดี หลังสถานะการเงินในภาคธนาคารแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าในช่วงปี 2551 ที่เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เช่น กองทุนกองทุนเปิด ยูไนเต็ด แพลตินัม อินคัม ออพพอร์ทูนิตี้ส์ พลัส ฟันด์ (UPINCM-N)
ข้อมูล ณ วันที่ 16 มีนาคม 2566
“KBank Private Banking เห็นความท้าทายในตลาดการลงทุนระยะข้างหน้าจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ ด้วยเหตุผลว่า 1) วัฎจักรของดอกเบี้ยใกล้สิ้นสุดลงแล้ว และยังไม่เห็นท่าทีว่าจะมีการลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่ปรับตัวขึ้นสูงช่วยปกป้องให้ภาพรวมของผลตอบแทนไม่ติดลบมากนัก 2) เศรษฐกิจโลกมีโอกาสชะลอตัวหรือถดถอยเพียงเล็กน้อย ภาคธุรกิจยังมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย 3) ส่วนต่างของดอกเบี้ยที่ต่างกันถือเป็นโอกาสการลงทุนในตราสารหนี้ ที่สำคัญคือตราสารหนี้เป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงที่ดี จึงแนะนำการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภททั่วโลกที่ผ่านการคัดสรรจากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะคอยดูแลปรับพอร์ตเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ อยู่เสมอ พร้อมกับสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว” นางสาวศิริพร กล่าวปิดท้าย
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ KBank Private Banking ได้ที่ https://kbank.co/3ETkS5v