ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจและการลดสัญญาณผ่อนคลายของเฟด

ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจและรายงานการประชุมเฟด การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนเมื่อ 16 ส.ค. ที่ต่ำกว่าคาด (ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม) ทำให้บรรยากาศการลงทุนของตลาดหุ้นโลกโดยรวมมีความระมัดระวังมากขึ้น โดยตลาดแกว่งตัวรอติดตามยอดค้าปลีกสหรัฐฯ (17 ส.ค. ) รายงานการประชุมเฟด (18 ส.ค. ) เพื่อจับสัญญาณชะลอทางเศรษฐกิจ ขณะที่เริ่มมีการรายงานจากสื่อในสหรัฐฯที่คาดเฟตจะส่งสัญญาณถึงการลดการผ่อนคลายทางการเงิน (tapering) ในการประชุม 21-22 ก.ย. และอาจเห็นการเริ่มลดการซื้อพันธบัตรตั้งแต่ ต.ค. 64 ซึ่งเราประเมินเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกอาจจะเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนในช่วงนี้

ศบค. ขยายเวลาล็อคดาวน์ถึงสิ้นส.ค. แต่ให้ธนาคารในห้างเปิดได้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 (ศบค.) มีมติให้ทุกพื้นที่คงระดับพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรในมาตรการเดิมตั้งแต่วันที่ 18-31 ส.ค. โดยเฉพาะมาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) ที่จะจำกัดการเดินทางและห้ามออกจากเคหะสถานหลังเวลา 21.00 น. แต่ให้ให้สามารถเปิดกิจการธนาคารและสถาบันการเงินในห้างสรรพสินค้าได้ ทั้งนี้เอกสารสรุปประชุมของศบค. ประเมินจุดสูงสุดของการระบาดในหลายกรณี ซึ่งเร็วที่สุดจะเกิดในช่วง ก.ย. ทำให้เราประเมินศบค. ยังมีแนวโน้มต้องล็อคไปอย่างน้อยจนปลายก.ย. หรือเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อผ่านจุดสูงสุด

ติดตามมาตรการเพิ่มเติมจากรัฐบาลและธปท. หลังผู้ว่าส่งสัญญาณควรกู้เพิ่ม 1 ล้านล้านบาท ผู้ว่า ธปท. พบสื่อมวลชนและแถลงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิดที่ทำให้เกิดหลุมรายได้ 2.6 ล้านล้านบาท จากผลกระทบของการจ้างงานในช่วงปี 63-65 ขณะที่ไทยฟื้นตัวช้าสุดในอาเซียน เพราะสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวที่สูง ขณะที่ภาคการผลิตแม้จะฟื้นตัวเหนือช่วงก่อนโควิด แต่มีการจ้างงานต่ำเพียงร้อยละ 8 ดังนั้น ธปท. สนับสนุนให้รัฐบาลใช้มาตรการด้านการคลังเพื่อเติมเงินเข้าระบบเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะทำให้หนี้สาธารณะขึ้นไปสูงถึง 70% ของ GDP ในปี 2565 แต่การฟื้นทางเศรษฐกิจจะทำให้หนี้ปรับลดลงเร็วกว่าการไม่กู้ เราคาดเศรษกิจระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวที่เกิดขึ้น แต่อาจมีจุดเปลี่ยนในทางที่ดีหากมีมาตรการเยียวยาขนานใหญ่ออกมาในระยะต่อไป

ธีมการลงทุนระยะสั้น กลุ่มสื่อสารและ REITs ยังเป็นแหล่งพักเงินที่ดีในช่วงที่ตลาดกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงการปรับประมาณการผลประกอบการที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองทยอยสะสม ADVANC, DTAC, FTREIT, WHART / เก็งกำไรแบบกำหนดจุดตัดขาดทุน JAS, ALT / ทยอยสะสมสาธารณูปโภค RATCH, EASTW, WHAUP, TTW / กลุ่มอาหารและเกษตร TVO, TU, CPF, GFPT, TWPC / เก็งกำไรกลุ่มเดินเรือ PSL, TTA, RCL / เก็งกำไรกลุ่มบรรจุภัณฑ์ SCGP, BGC / กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์แม้แนวโน้มผลประกอบการดี แต่ระยะสั้นถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับขึ้น และจากความเสี่ยงการผลิตอาจกระทบหากมีพนักงานติดโควิด

ภาพรวมกลยุทธ์: ยังแค่เลือกเก็งกำไรหลัง SET Index ยังอยู่ในแนวโน้มแกว่งตัวลงในกรอบ 1,500-1,550 จุดอย่างไรก็ตาม การลงทดสอบแนวรับระหว่างทางหุ้นรายตัวมีโอกาสคาดหวังการฟื้นตัวในระดับ 5-10% หลังหุ้นขนาดใหญ่ปรับลดลงมาแรง 20-30% //

หุ้นแนะนำ: GPSC *, TTA *, KEX *, BDMS *

แนวรับ: 1,515 / แนวต้าน: 1,535-1,550 จุดสัดส่วน: เงินสด 60%: พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน

ขยายพื้นที่รับนักท่องเที่ยวเพิ่ม-จากจังหวัดภูเก็ต (Phuket Sandbox) เดินทางเชื่อมต่อจังหวัดนำร่องอื่นเริ่มจากสุราษฎรธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า) กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล) และพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่) ภายใต้มาตรการ 7 + 7

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับลด GDP ไทยในปี 64 คาดว่าจะหดตัวที่ -0.5% – จากประมาณการเดิมช่วงก. ค. ที่คาดว่าจะเติบโตได้จากมาตรการล็อกดาวน์ อาจใช้ระยะเวลายาวขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงที่เป็นประเด็นติดตามยังอยู่ที่การควบคุมการแพร่ระบาดในภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่อาจกระทบต่อการส่งออก

TTA. เผยครึ่งหลังปี 64 รับอานิสงส์ค่าระวางเรือพุ่งเดินหน้าซื้อเรือใหม่เพิ่ม 2-3 ลำ หวังเสริมศักยภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น ขณะที่ภาวะตู้คอนเทนเนอร์ขาดหนุนดีมานด์เรือเทกองพุ่ง

RATCH. มั่นใจผลงานปี 64 ดีกว่าเป้าล่าสุดอยู่ระหว่างเจรจาเข้าร่วมลงทุนโรงไฟฟ้ากำลังการผลิตรวม 970 เมกะวัตต์คาดปีด 1-2 ดีลภายในปลายปีนี้ เผยลุ้นดีลใหญ่หลายร้อยเมกะวัตต์อีกกลางปีหน้า พร้อมเร่งแผนหุ้นเพิ่มทุน 3 หมื่นล้านบาทเพื่อรองรับแผนขยายลงทุนปี 64-65

ประเด็นติดตาม:-17 ส.ค. : EU GDP Q2 / 64/25 สค.: Thailand Focus

ประเด็นลงทุนสำหรับหุ้นแนะนำ

  • เก็งกำไร GPSC * (100): คาดการเข้าซื้อกิจการและทำ M&A จะยังเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานเก็งกำไรโดยกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ 77 บาท
  • เก็งกำไร TTA “(19): คาดผลการดำเนินงานกลุ่มเดินเรือเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เก็งกำไรโดยกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ 14.50 บาท
  • เก็งกำไร KEX * (48): เก็งกำไรการฟื้นตัวทางเทคนิคตัดขาดทุน 39.75 บาท
  • เก็งกำไร BDMS (27.50): คาดผลการดำเนินงานฟื้นตัวต่อเนื่องขณะที่การผ่อนคลายและเปิดประเทศในปี 2565 จะเป็นแรงส่งต่อผลประกอบการได้ดีกว่ารพ. ที่เน้นรับผู้ป่วยในประเทศ

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐานหรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

- Advertisement -