Our View? “แกว่งออกข้าง”

คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,605 / 1,592 และแนวต้านที่บริเวณ 1,615 / 1,625 คาดตลาดอาจได้รับ Sentiment เชิงบวกจากตลาดต่างประเทศบ้าง โดยตลาดยังคงอยู่ในภาพคลายความกังวลวิกฤตธนาคารสหรัฐ-ยุโรป จากการที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว และค่อนข้างตรงจุด ขณะที่บรรษัทค้ำประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) เริ่มการตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุของวิกฤตดังกล่าวแล้ว คาดจะมีการออกมาตรการควบคุมเพิ่มเติมออกมาเร็วๆ ที่เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวซ้ำรอย อีกทั้งเมื่อคืนนี้บริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เปิดเผยคาดการณ์แนวโน้มกำไรฟื้นตัวขึ้น เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางสินทรัพย์เสี่ยงได้บ้างเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม เช้านี้เราเริ่มเห็น Dollar Index พยายามฟื้นตัวกลับขึ้นบ้างอยู่ที่ระดับ 102.64 หลังจากความพยายามในการทำจุดต่ำสุดใหม่ก่อนหน้า ขณะที่ 10 Year US Bond Yield เริ่มชะลอตัวลงหลังเข้าใกล้แนวต้านที่บริเวณ 3.65% คาดจะเป็นปัจจัยชะลอการฟื้นตัวของทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงรวมทั้งตลาดในภูมิภาคได้บ้างใน ระยะสั้น ทั้งนี้เราคาดว่าในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ตลาดจะให้ความสำคัญกับการติดตามการรายงานตัวเลขดัชนีราคาจาก รายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน ก.พ. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) คาดจะออกมาที่ระดับ 5.10% YoY และ 0.3% MoM

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับตัวขึ้นเข้าทดสอบแนวต้านทางเทคนิคแล้วเริ่มชะลอกำลังลงบ้างแล้ว ปิดที่ระดับ 72.97 ดอลลาร์/บาร์เรล -0.23 ดอลลาร์ (-0.31%) เผชิญแรงขายทำกำไรหลังปรับตัวขึ้นรับรู้รายงานอิรักระงับการส่งออกน้ำมันบางส่วนจากเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกของน้ำมันอยู่ที่ราว 4.5 แสนบาร์เรล/วัน หรือราว 0.50% ของอุปทานน้ำมันโลกไปบ้างแล้วในระดับหนึ่ง ขณะที่การแข็งค่าระยะสั้นของดอลลาร์สหรัฐเป็นปัจจัยกดดันทิศทางราคาน้ำมันเช่นเดียวกัน

สำหรับปัจจัยในประเทศ วันนี้เมื่อวานนี้ กนง. มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% สู่ระดับ 1.75% ตามที่เราและตลาดคาดไว้ โดยยังมองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคของภาคเอกชน ขณะที่การส่งออกเริ่มฟื้นตัว และคาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ดีในช่วง 2H66 สำหรับอัตราเงินเฟ้อคาดจะสามารถปรับลดลงเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ แต่ปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับที่เราคาดไว้ แต่ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี’66 และ 67 ลงบ้างเล็กน้อยสู่ระดับ 3.6% และ 3.8% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ระดับ 3.7% และ 3.9% ตามลำดับ จากความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง ขณะที่ชี้แจงปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักไม่ได้ส่งผลต่อระบบการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL, KTB และ SCB) รวมทั้งเรายังคงชอบหุ้นในกลุ่ม Defensive อาทิ หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (GPSC, BGRIM, GULF และ RATCH) ที่คาดจะได้รับประโยชน์จากการกลับมาแข็งค่าของค่าเงินบาทในระยะต่อไป ขณะที่ประเด็นในการเลือกตั้งของไทยเดือน พ.ค. มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (STEC และ CK) และกลุ่มสื่อโฆษณา (PLANB และ VGI) รวมทั้งเราคาดว่าหุ้นในกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสเป็นเป้าหมายในการทำ Window Dressing ในช่วงของการปิดไตรมาส 1 สิ้นเดือนนี้คาดจะหนุนการฟื้นตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มดังกล่าวได้

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนำวันนี้ “RATCH”

กลยุทธ์ ทยอยซื้อสะสม แนวรับ 38.75 / 38.00 Target 41.25 / 45.00 stop <37.00

- Advertisement -