Daily Focus: Selective Play
2023SET Target: 1700
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวในแดนลบแม้ DELTA จะไม่ได้กดดันเพิ่ม แต่หุ้นขนาดใหญ่หลายกลุ่มยังเผชิญแรงขาย เช่น ปิโตรเคมี บรรจุภัณฑ์ ค้าปลีก เป็นต้น ส่งผลให้ดัชนีปิด ลบ 6.32 จุด ณ สิ้นวัน ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่บางเพียง 4.1 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 462 ลบ.และ 13 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติยัง Short Index Futures อีก 7 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,585-1,600 จุด โดยตลาดขาดปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ตัวเลขเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวทั้ง PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ-จีนที่ประกาศในช่วงก่อนหน้า ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาตัวเลขตำแหน่งว่างงานของสหรัฐฯ ปรับตัวลงต่ำกว่า 10 ล้านตำแหน่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021 ซึ่งสะท้อนว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มทยอยส่งผล ส่วนกลุ่มพลังงานคาดยังประคองตลาดได้ต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวสูง แต่มองเป็นความเสี่ยงต่อทั้งเงินเฟ้อในระยะถัดไปที่มีแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น เม็ดเงินยังทยอยไหลเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและปลอดภัยอย่างพันธบัตรและทองคำอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความกังวลต่อทิศทางเศรษฐกิจใน 2H23 ที่มีโอกาสชะลอตัวชัด ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มี.ค. และโฟกัสหลักยังอยู่ที่การหาเสียงเลือกตั้งที่จะคึกคักในเดือน เม.ย.-พ.ค. ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในระยะสั้น กลุ่มโรงไฟฟ้ามี Catalyst บวกจากการประกาศผลประมูลโรงไฟฟ้าพลังงาน ทดแทน 5.2 GW วันนี้ ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลเป็น Defensive Play ที่น่าสนใจและมี Catalyst หากสปส.ปรับเพิ่มค่าหัวในเดือนนี้ ด้านกลยุทธ์หากดัชนีมีจังหวะพักตัวลงหาระดับ 1,550 จุด หรือต่ำกว่ายังเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นพื้นฐาน เรายังคงเน้นหุ้น Domestic/Reopening Play เป็นหลัก ระยะสั้นเน้นเลือกเก็งกำไรหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
กลยุทธ์ : ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มในช่วงปรับฐาน ยังเน้นหุ้น Domestic/Reopening Play
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : AOT, BA, BGRIM, CPN, MAKRO
หุ้นเด่นวันนี้ : CHG
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท
- ผู้บริหารคาดรายได้ปี 2023 ที่ 8 พันลบ. สูงกว่าที่เราคาดที่ 7.3 พันลบ. หนุนจากรายได้ ผู้ป่วยต่างชาติ Fly-in โดยเฉพาะกลุ่มพม่า กัมพูชา และตะวันออกกลาง รวมถึงแรงหนุนจากโรงพยาบาลใหม่ทั้งที่แม่สอด และ Chularat Medical Center
- มีปัจจัยหนุนจากโอกาสที่สปส.จะปรับเพิ่มค่าหัวประกันสังคมราว 9-10% และทดลองปรับเพิ่มเงิน 5 หัตถการจาก 12,000 บาทเป็น 15,000 บาทต่อ RW ในช่วง 1H23 ซึ่งเรายังไม่ได้รวมในประมาณการ
- แนวรับ 3.52 บาท แนวต้าน 3.70-3.80//4 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคเร่งขึ้นเป็น US$350 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$294 ล้าน ส่วนไต้หวันปิดทำการ ขณะที่อาเซียนเม็ดเงินพลิกมาไหลออกนำโดย ไทย US$39 ล้าน กังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยเฉพาะตัวเลข PMI ของสหรัฐฯและจีนที่ปรับลง รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นอีกครั้ง แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออกและเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอย่างพันธบัตรและสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ
ประเด็นสําคัญวันนี้
(0) จับตาเงินเฟ้อไทยเดือน มี.ค. ตลาดคาดเงินเฟ้อทั่วไป +0.14% m-m, +3.25% y-y ชะลอจากเดือน ก.พ. ที่ +3.79% y-y ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานคาด +1.8% y-y ชะลอจากเดือนก่อนที่ +1.93% yy หากออกมาต่ำกว่าคาดจะลดแรงกดดันสำหรับกนง.ในการขึ้นดอกเบี้ย ปัจจุบันเรามองกนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยใน 2Q23 อีก 0.25% สู่ระดับ 2% และมีโอกาสเป็น Peak ของรอบได้ในกรณีฐาน และกรณีตึงตัวเราเชื่อว่าจะไม่เกิน 2.25% โดยปัจจัยที่อาจกดดันในระยะถัดไปคือราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นอีกครั้งหลัง OPEC+ ลดกำลังการผลิตเพิ่มเติม คาดทำให้เงินเฟ้อทั่วไปเดือน เม.ย. มีโอกาสเร่งขึ้น
(+) กกพ.ประกาศผลประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 5.2 GW วันนี้ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2,368 MW โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์+แบตเตอร์รี่ 1,000 MW โรงไฟฟ้าพลังงานลม 1,500 MW โรงไฟฟ้า Biogas 335 MW โดยตามแผนจะเริ่มทยอย COD ในปี 2024-2030 และมีแผนเปิดประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมอีก 3.6 GW ในระยะ ถัดไป เป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เข้าร่วมประมูลและมีโอกาสเป็นผู้ชนะ ได้แก่ GUNKUL GULF EA SSP BGRIM GPSC BPP EGCO RATCH BCPG
(+) SEAFCO โมเมนตัมกำไร 1Q23 จะฟื้นตัวเด่น q-q และ y-y จากทั้งรายได้และ Margin ที่เร่งตัวตามงานในมือ รวมถึงสัดส่วนงานค่าแรงที่มากขึ้น ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 1.5 พันลบ.เติบโตราวเท่าตัวจากปีก่อน Backlog ปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 พันลบ. และอยู่ระหว่างประมูล 9.4 พันลบ. และคาดหวัง Gross Margin ฟื้นตัวเหนือระดับ 10% จากสัดส่วนงานค่าแรงที่เพิ่มขึ้น เราคาดปี 2023 SEAFCO จะพลิกมีกำไรได้ 114 ลบ.จากขาดทุน 129 ลบ. ปีก่อน และเตรียมจับมือ Partner เพื่อเข้าประมูลงานรถไฟใต้ดินในบังคลาเทศ ประเมินราคาเป้าหมาย 4.70 บาท แนะน่า “ซื้อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 198.77 จุด หรือ -0.59% ปิดที่ 33,402.38 จุด หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจและแรงงานที่อ่อนแอ โดยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.พ. ต่ำกว่าระดับ 10 ล้านตำแหน่ง ในรอบเกือบ 2 ปี
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ จากหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงจากข้อมูลตัวเลข PMI ของจีนชะลอตัวลงและตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐที่อ่อนแอ รวมถึงดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของยูโรโซนลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันในเดือนก.พ.
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดผสม ขณะที่นักลงทุนย่อยข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐหลังผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานเดือน ก.พ. ออกมาต่ำกว่าระดับ 10 ล้านตำแหน่ง
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 29 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 80.71 ดอลลาร์/บาร์เรล ยังได้แรงหนุนจากการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ขณะที่มีปัจจัยกดดันจากการรายงานข้อมูลเศษฐกิจจีนและสหรัฐที่อ่อนแอ ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นต่อที่ระดับ 81.06 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.43%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 37.80 ดอลลาร์ หรือ ·89% ปิดที่ 2,038.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดยังคงได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในขณะที่เช้านี้ย่อตัวลง เล็กน้อยที่ระดับ 2,037.2 ดอลลาร์/ออนซ์ -0.05%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 930.04 / –