KS Daily View 07.04.2023 >>> คาดจ้างงานสหรัฐฯ มี.ค. +239K ติดตามกลุ่มโรงไฟฟ้า หลังประกาศผู้ชนะ 5.2 GW SET คาดแกว่งในกรอบ 1,555-1,596 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ GUNKUL
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA +0.01%, S&P 500 +0.76%, NASDAQ +0.76% โดย Sector ที่ outperform ใน S&P 500 ได้แก่ Consumer discretionary (+1.71%), Real Estate (+0.69%), IT (+0.68%) เป็นต้น Sector ที่ underperform ใน S&P 500 ได้แก่ Energy (-1.47%), Materials (-0.22%), Industrial (-0.03%) เป็นต้น ในประเทศ: SET Index ปรับตัวลง -22.92 จุด หรือ -1.44% ปิดที่ 1,571.13 จุด โดยหุ้นที่ปรับขึ้นแรง ได้แก่ BGRIM (+2.60%), CK (+1.95%), SPRC (+0.93%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ปรับลงแรง ได้แก่ COM7 (-9.24%), DELTA (-8.51%), HANA (-5.97%), KCE (-5.56%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ: คาดตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1555-1596 จุด วันนี้ มูลค่าการซื้อขายยังเบาบางเพราะติดช่วงวันหยุดยาว รอประเมินผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. และภาพเศรษฐกิจโลกว่าจะเป็น Soft Landing, Recession, หรือ Stagflation โดยหากเป็นกรณี Soft Landing เรามองว่าดีที่สุดคือ ตลาดจะแค่พักฐานแล้วปรับตัวขึ้นหลังเลือกตั้งกลางปี และเฟดลดดอกเบี้ยใน 2H23 โดยเราประเมินเป้า SET Index กรณี Base case ที่1,666 จุดสำหรับปี 2023 และ Best case ที่ 1,778 จุด ส่วนกรณีเกิด Recession หรือ Stagflation เรามองมีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับที่ลึกขึ้นได้แก่ กรณี Worse case ที่ 1,542 จุด และ Perfect storm ที่ 1,305 จุด ตามลำดับเพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนจะมี downsides จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หรือเฟดอาจต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อกดเงินเฟ้อ ทำให้ PER ตลาดถูกกดต่อ
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) ติดตามตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ โดยตลาดคาด +239K (ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +311K) อัตราการว่างงานจะทรงตัว MoM ที่ 3.6% และค่าจ้างรายชั่วโมงปรับตัวขึ้น +0.3% MoM และ 4.3% YoY ซึ่งตลาดกำลังประเมินความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะ Recession (เศรษฐกิจถดถอย) หรือ Stagflation (เศรษฐกิจชะลอตัว+เงินเฟ้อสูง) ใน 2H23 ซึ่งอย่างหลังจะแก้ยากเพราะเงินเฟ้อสูง ธนาคารกลางลดดอกเบี้ย/ทำ QE เพื่อกระตุ้นไม่ได้ดังนั้นปัญหา Stagflation มักจะลากยาวกว่า Recession คือเกิน 1 ปี อย่างไรก็ตามหากเป็นกรณี Soft Landing ภาพจะเปลี่ยนไปคือ เศรษฐกิจชะลอแต่ไม่ติดลบ และเงินเฟ้อลดลง ทำให้เฟดลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดคาด 75-100bps. ใน 2H23 และตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น
2.) กกพ. ประกาศผลผู้ชนะประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก 5.2GW โดย GULF ได้รับการจัดสรรมากสุด รองลงมาเป็น GUNKUL, BGRIM, และ SSP จากการประเมินเบื้องต้นเราพบว่าหุ้นที่มี upsides ส่วนเพิ่มจากกรณีดังกล่าวโดยเรียงจากมาไปน้อย ได้แก่ GUNKUL (+24%), SSP (+9%), GULF (+6%), BGRIM (3%) ส่วน RATCH, GPSC, BCPG ได้ 0.2-0.3%
3.) ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มี.ค. ของไทยออกมาตำ่กว่าคาดที่ 2.83% และต่ำสุดในรอบ 15 เดือน โดยชะลอลงจากราคาพลังงาน และอาหารเป็นหลัก โดยทางเราประเมินว่าเงินเฟ้อของไทยปีนี้จะปรับตัวลงกลับเข้าสู่กรอบนโยบายของ ธปท. ที่ 1-3% เทียบปีก่อนที่ 6.0% โดยปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยทุกๆU$10/bbl ที่ปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบจะมีผลต่อเงินเฟ้อไทยประมาณ 1%-1.5% ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโยบายคาด กนง. ปรับขึ้นอีก 25bps. เป็น 2.00% ในเดือน พ.ค.
4.) กลุ่ม ICT และ Gadget สำนักข่าวข่าวหุ้นรายงานว่า กสทช.มองดีล AIS ซื้อ 3BB ใช้มาตรฐานเดียวกับทรูควบดีแทค มีโอกาสลากยาวถึงสิ้นปี โดยกสทช.เตรียมตั้งคณะอนุกรรมการ ทำเฮียริ่งไม่ต่ำกว่า 1-2 เดือน มองดีลไม่ทันQ2/66 ทั้งนี้นักวิเคราะห์ของ KS ประเมินความล่าช้าของดีลอาจกระทบ sentiment การลงทุนของ ADVANC แต่เป็นการเปิดโอกาสให้สามารถต่อรองลดค่าเช่ากับกอง JASIF ได้หลัง TTTBB มีปัญหาทางการเงิน ในส่วนของหุ้นกลุ่ม Gadget ที่ปรับตัวลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ได้แก่ COM7 (-9.24%) และ SYNEX (-1.4%) เนื่องจากตลาดกังวลงบ1Q23 ที่ลดลง QoQ, การฟื้นตัวของอุปสงค์ยังช้า, และแนวโน้ม GPM ลดลงด้วยจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในกลุ่มsmartphone เพราะกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ยังฟื้นตัวช้า โดยนักวิเคราะห์ของ KS ยังชอบกลุ่ม ICT (TRUE, ADVANC) มากกว่า Gadget
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
1.) หุ้นที่มีปัจจัยบวกหนุนหรือทิศทางผลประกอบเติบโต (Quality Growth) ได้แก่ 1.1) BE8 ราคาพื้นฐาน 69.08 บาทได้ประโยชน์จากความต้องการบริการด้าน Cyber securities เพิ่มขึ้นหลังเกิดเหตุการณ์โจรกรรมข้อมูลคนไทย 55 ล้านราย มอง BE8 ได้ประโยชน์จากธีมดังกล่าวผ่านในเครือคือ บริษัทเบย์คอมที่เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำด้าน Cyber Security ของไทย 1.2) GUNKUL ราคาพื้นฐาน 4.65 บาท โดย GUNKUL ชนะประมูล 848MW ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จากกำลังการผลิตปัจจุบันของ GUNKUL ที่ 500 MWe ประเมิน upsides 24% ส่วนเพิ่มจากกรณีดังกล่าว และ 1.3) KLINIQ (ราคาพื้นฐาน 48.10 บาท) ตั้งเป้ารายได้ปี 2566 ที่ 2 พันลบ. เติบโต 22% YoY ด้วยอัตรากำไรสุทธิ 13% เพิ่มขึ้นจาก 12.5% จากการเปิด 10 สาขาใหม่ในปีนี้ เพิ่มกิจกรรมการตลาด เปิดศูนย์ศัลยกรรมใหม่รองรับความต้องการลูกค้าต่างชาติ และควบคุมต้นทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.) กลุ่ม Defensive ที่จะช่วยลดความผันผวน/ความเสี่ยงของพอร์ทการลงทุนรวม แนะนำ 2.1) CK ราคาพื้นฐาน 33.34 บาท มีค่า beta ไม่สูงเพียง 0.52x มี holding discount company -40% และคาดได้ประโยชน์จากการเร่งลงทุนงานภาครัฐหลังเลือกตั้งเดือน พ.ค. และ 2.2) ADVANC ราคาพื้นฐาน 234 บาท มีค่า beta ไม่สูงเพียง 0.62x ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศหนุนรายได้ฟื้นตัว การแข่งขันในตลาดที่ดีขึ้นหนุนอัตราการทำกำไร และคาดการซื้อกิจการ TTTBB และ JASIF จะช่วยเพิ่มมูลค่า 7.65 บาทต่อหุ้น
3.) กลุ่ม พลังงาน เพื่อ hedge กับกรณีที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นหลัง OPEC+ปรับลดกำลังาการผลิต ได้แก่PTTEP ราคาพื้นฐาน 172 บาท ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจะหนุนราคาขาย และกำไรสูงขึ้น และ BCP ราคาพื้นฐาน42.50 บาท คาดได้กำไรจากสต๊อก และมองดีลควบรวมกับ ESSO ยังเดินไปตามแผน
ประเมินตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1555-1596 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ GUNKUL
Top pick:
GUNKUL (ราคาพื้นฐาน 4.65 บาท) ชนะประมูล 848MW ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ (569MW เป็น solar power และ 100MW เป็น solar+BESS) และพลังงานลม (180MW) จากกำลังการผลิตปัจจุบันของ GUNKUL ที่ 500 MWe ประเมิน upsides 24% ส่วนเพิ่มบน TP
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ: วันศุกร์ ติดตาม ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยเดือน มี.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มี.ค. โดยนักเศรษฐศาสตร์ประเมิน +239K (ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ +311K) อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 3.6% และค่าจ้างรายชั่วโมงปรับตัวขึ้น +0.3% MoM และ +4.3% YoY