ASL ANALYSIS GUIDE

ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway to sideway down หลังหลุดแนวรับ 1,572 ยังคงโมเมนตัมลบ ระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวลงต่อทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1,561-1,555 หากไม่ต่ำกว่ามีโอกาสรีบาวนด์เชิงเทคนิค แนวต้าน 1,572/1,580

ประเด็นการลงทุน
1. ติดตามประเด็นการพิจารณาค่า Ft ของ กกพ.
2. BBL-KBANK รายงานงบดีกว่าตลาดคาด

 

วันนี้เคาะ CENTEL แนวโน้ม 1Q66 ของ CENTEL จะรายงานกำไรสุทธิที่เป็นบวกราว 500-600 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 44 ล้านบาท ในปีก่อน

MARKET STRATEGY

สรุปตลาดวานนี้: SETI ปิดที่ 1,565.10 จุด ลดลง 15.63 จุด (-0.99%) มูลค่าการซื้อขาย 57,260.07 ล้านบาท ปรับตัวลงต่อ  ซึ่งมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมากดดัน ทั้งในส่วนของ 2 แบงก์ใหญ่ คือ KBANK และ SCB ที่มีประเด็นความกังวลเกี่ยวกับสินเชื่อที่ให้กับ STARK ที่เป็นประเด็นกังวล รวมถึงแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงกดดัน

Research Highlight: ตลาดยังสู่ช่วงปรับฐานและ Earnings Season ของกลุ่มธนาคาร

ติดตามประเด็นการพิจารณาค่า Ft ของ กทพ.

  • กกพ.ขอเสนอยืดการชำระหนี้ค่าไฟฟ้าที่ทาง กกพ. แทนประชาชนออกอีก โดยจากระยะเวลาชำระหนี้ 2 ปี เป็น 2 ปี 4 เดือน ต่อคณะอนุกรรมการค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (FT) ในวันนี้ เพื่อพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าในงวดเดือน พ.ค. – ส.ค. 2556 จาก 4.77 บาท ต่อหน่วยเป็น 4.70 บาทต่อหน่วย
  • ทั้งนี้สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดปัจจุบัน ม.ค.-เม.ย. 2566 ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย โดยจากข้อมูลการใช้งานไฟฟ้าย้อนหลังในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ผ่านมา
  • ล่าสุดช่วงเดือนเมษายนนี้มีอากาศที่ร้อนจัด ทำให้มีการใช้งานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งมีความ ต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 32,224.6 MW ในวันที่ 19 เมษายน 2566
  • โดยหากมีการอนุมัติลดค่าไฟลง จะให้ผลประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มที่ที่ต้นทุนค่าไฟฟ้าเป็นต้นทุนสําคัญ ได้แก่ กลุ่มโรงแรม Top pick คือ AWC MINT CENTEL และกลุ่มค้าปลีก และห้างสรรพสินค้า Top pick คือ BJC CRC
  • ในด้านของหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า Top pick เป็น GULF BGRIM GPSC ที่แม้ได้รับผลกระทบด้านลบจากการลดค่าไฟฟ้า แต่ถูกชดเชยด้วยค่าต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ต่ำลงจากต้นปี

BBL-KBANK รายงานงบดีกว่าตลาดคาด

  • BBL รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 1 หมื่นล้านบาท (+34%QoQ, +42%YoY) จาก CoF ที่เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดมากๆ ส่งผลให้ภาพรวม NII ยังทรงตัว QoQ พร้อมกับรายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโต
  • KBANK รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 1.07 หมื่นล้านบาท (+236.63%QoQ, -4.19%YoY) จากการตั้งสํารองที่ลดลงกว่า 44.3%QoQ ส่วน Core business ยังทรงตัว ไม่ค่อยโดดเด่น เนื่องจากทั้ง NII และ Fee income ยังชะลอตัว
  • ในเชิงกลยุทธ์มองว่าผลประกอบการของ BBL ที่ออกมาดีจะช่วยหนุนตลาดได้บ้าง แนะนำ ซื้อสะสม ขณะที่ของ KBANK ยังมีประเด็นความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ของ STARK มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท แม้ว่า KBANK ได้ตั้งสำรองส่วนเพิ่มไปบางส่วนในงวด 4Q65 แล้ว แต่ไว้ใช้สำหรับการรุกตลาด high yield จึงมองว่าอาจเห็นการตั้ง สํารองเพิ่มอีกใน 2Q66 แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว

ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ

  • จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดชื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเดือนเม.ย.จากเอสแอนด์พี โกลบอล

Investment Strategy

  • ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway to sideway down หลังหลุดแนวรับ 1572 ยังคงโมเมนตัมลบ ระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวลงต่อทดสอบแนวรับถัดไปที่ 1561-1555 หากไม่ต่ำกว่ามีโอกาสรีบาวนด์เชิงเทคนิค แนวต้าน 1572/1580 คาดว่ากลุ่มพลังงานจะกดดันตลาดหลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงต่อเนื่อง
  • แนะนำ Selective buy กลุ่ม Big cap. ที่ Laggard HMPRO CPALL CPN AOT KBANK SCB JMT BDMS กลุ่ม Election Rally ADVANC KBANK BBL SC SIRI WHA STEC CPALL EA และ China reopening AOT WHA AMATA CENTEL ERW SISB SNNP TKN

Global Markets

(-) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบเนื่องจากรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทเอกชนยังคงเป็นปัจจัยฉุดตลาด  ขณะที่นักลงทุนจับตาการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดก่อนการประชุมนโยบายการเงินในเดือนหน้า

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของ บริษัทจดทะเบียน และหุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลง หลังบริษัทเทสลาเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ

(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดร่วง ติดต่อกันเป็นวันที่ 2 โดยตลาดถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน รวมทั้งสต็อกน้ำมันเบนซินของสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา

(+) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดบวกในวันพฤหัสบดี (20 เม.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย

หุ้นเคาะไป คุยไป..CENTEL

  • ประเมินแนวโน้ม 1Q66 ของ CENTEL จะรายงานกำไรสุทธิที่เป็นบวกราว 500-600 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 44 ล้านบาท ในปีก่อน เนื่องจาก 1. งวด 2M66 เป็นช่วง high season ของธุรกิจ รวมถึงได้การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ หนุนให้ RevPar ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการฟื้นตัวของโรงแรมในต่างจังหวัด ขณะที่ภาพอัตราการเข้าพักอยู่ในระดับ 70% 2. ธุรกิจอาหารยังคงเติบโต โดยประเมิน SSSG ฟื้นตัวต่อเนื่องในระดับ high single digit ตามการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวและฐานที่ต่ำในปีก่อน 3. ต้นทุน- ค่าใช้จ่ายที่ลดลง โดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง และล่าสุดตัวเลข World food price index ในเดือน มี.ค. ปรับลดลงทำจุดต่ำสุดตั้งแต่ ก.ค. 64 สะท้อนภาพต้นทุนอาหารที่ปรับตัวลง นอกจากนี้ยังได้อานิสงส์บวกจากการประชุมของ บอร์ด อนุกรรมการค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ เรื่องการปรับลดค่า Ft งวด พ.ศ.-ส.ค. 66 จากเดิมที่ 4.77 บาท หากมีการปรับลดจะช่วยเรื่องต้นทุนค่าไฟฟ้า และหนุนผลประกอบการให้ขยายตัวขึ้น
  • อย่างไรก็ตามช่วง 2Q66 เริ่มเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย จึงยังคงคาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ยโดยรวมทั้งไตรมาสที่ประมาณ 60- 65% ส่วนธุรกิจอาหารภาพรวมยอดขายต่อสาขายังคงฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งทุกสาขาทั่วประเทศ ตามกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งจากนักท่องเที่ยว และความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ขณะที่ Guidance ปี 66 ธุรกิจโรงแรม ตั้งเป้า Occupancy rate ระดับ 65 – 72% และ RevPar ในกรอบ 3,250-3,400 บาท ส่วนธุรกิจอาหาร ประเมิน SSSG (same store sell growth) ในกรอบ 7-9% และ TSS (Total store sell growth) ที่ 13-15% โดยมีสาขา outlet ประมาณ 120-150 ซึ่งรวมร้าน Arigato ใน Mister Donut แล้ว
- Advertisement -