บล.ฟิลลิป:
PTTGC: คาดขาดทุนลดลง q-q
ซื้อ TP’66: 62.00
คาดขาดทุนสุทธิลดลง q-q โดยหลักมาจากผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงกลั่น และอะโรมาติกที่ปรับตัวดีขึ้น q-q ขณะที่แนวโน้มของอุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเริ่มปรับตัวดีขึ้น q-q หลั่งจากการลดปริมาณสินค้าคงคลังไปในช่วง 4Q65 และคาดว่าจะทยอยฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของจีน ทางฝ่ายยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
งบรวม | 1Q66E | 4Q65 | 1Q65 | % y-y | % q-q |
กําไร | -879 | -968 | 4,212 | n.a. | n.a. |
EPS | -0.19 | -0.21 | 0.93 | n.a. | n.a. |
หมายเหตุ: กำไร = ล้านบาท, EPS = บาท
- คาด 1Q66 ขาดทุนลดลง q-q: ทางฝ่ายคาด 1Q66 มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 879 ลบ. ลดลง q-q โดยหลักผลการดำเนินงานถูกกดดันจาก 1) ต้นทุน LPG ของธุรกิจโอเลฟินส์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 15.4% q-q และคาดว่า utilization rate ของธุรกิจโอเลฟินส์จะอยู่ที่ราว 70% ลดลงจาก 76% ใน 4Q65 เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนของโรง OLE2/2 ไปราว 59 วัน ส่งผลให้คาดว่าสัดส่วนการใช้อีเทนจะลดลงมาอยู่ที่ 35% จากเดิม 37% ใน 4Q65 2) P2F ของธุรกิจปิโตรเคมีขั้นกลาง (Phenol/BPA/PTA/PO) ส่วนใหญ่อ่อนตัวลง q-q และแม้ว่าส่วนต่างราคาของ MEG จะปรับตัวดีขึ้น 4.4% q-q แต่คาดว่าจะไม่ได้ช่วยหนุนผลการดำเนินงานมากนัก เนื่องจาก utilization rate ของ MEG ที่คาดว่าจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบ q-q เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนราว 61 วัน แต่ผลการดำเนินงานยังได้แรงหนุนจากธุรกิจโรงกลั่นที่กลับมาเดินเครื่องตามปกติ หลังจากการปิดซ่อมบำรุงไปในช่วง 4Q65 และคาดว่า GRM จะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย q-q อยู่ที่ราว 9.8 ดอลลาร์/bbl เนื่องจาก crude premium ที่อ่อนตัวลงราว 4 ดอลลาร์/bbl q-q และขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันที่คาดว่าจะลดลงอยู่ที่ราว 2,005 ลบ. จากเดิมขาดทุน 3,518 ลบ. ใน 4Q65 ขณะที่คาดว่าการขาดทุนดังกล่าวจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากกำไรจากการป้องกันความเสี่ยงราว 1,326 ลบ. (กำไรจากการป้องกันความเสี่ยงใน 4Q65 อยู่ที่ 356 ลบ.) ประกอบกับอุปสงค์ของน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างราคาของ PX/BZ เฉลี่ปรับตัวขึ้นสูงขึ้น 49% และ 174% q-q ตามลำดับ นอกจากนี้ผลการดำเนินงานยังมีแรงหนุนจากส่วนต่างราคา PE ที่ปรับตัวสูงขึ้นยราว 25.1% q-q