นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท  เวฟ เอกซ์โพเนนเซียล จำกัด (มหาชน) หรือ  WAVE

WAVE ตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้ถือหุ้น ลั่นธุรกิจคาร์บอนเครดิตการศึกษาดันปี 66 “เทิร์นอะราวด์”

 @ประกาศรีแบรนด์ดิ้งชื่อใหม่เป็น Wave Exponential เพื่อให้สอดคล้องธุรกิจในปัจจุบัน

WAVE ให้คำมั่นผู้ถือหุ้น ลั่นปี2566เป็นปีแห่งการ “เทิร์นอะราวด์” ผลการดำเนินงานจะกลับมาพลิกฟื้นเติบโตแข็งแกร่งและมั่นคง  ดันธุรกิจให้บริการคาร์บอนเครดิตครบวงจรทั้งในไทย และ SEA (South East Asia)  รวมทั้งมุ่งพัฒนานวัตกรรมด้าน  Climate Tech นำดิจิทัลตรวจสอบและลดการปล่อยมลพิษ ขณะที่ธุรกิจการศึกษาโตก้าวกระโดดสู่เซาท์อีสเอเชีย  ตั้งเป้าขยายสาขาในรูปแฟรนไชส์ เป็น 24 สาขา ในปี 68 พร้อมรีแบรนด์ชื่อใหม่เป็น “Wave Exponential” เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจในปัจจุบัน

บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE  ได้มีการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 โดยนายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE  กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจของกลุ่ม WAVE ในปีนี้  ถือเป็นก้าวสำคัญของการเติบโต และเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานพลิกฟื้นกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน ซึ่งถือเป็นปีแห่งการ “เทิร์นอะราวด์”  สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับผู้ถือหุ้น โดยบริษัทมีความพร้อมที่พัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ที่เป็นเทรนด์ของโลกเพิ่มขึ้น รวมถึงขยายธุรกิจด้านการศึกษา ซึ่งเป็นธุรกิจเดิมของกลุ่ม WAVE ให้มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อเป็น บมจ.เวฟ  เอกซ์โพเนนเชียล (Wave  Exponential) ตามที่คณะกรรมการเสนอ  เพื่อให้ชื่อบริษัทสอดคล้องกับธุรกิจที่บริษัทดำเนินอยู่ในปัจจุบันอย่างชัดเจน

สำหรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน ประกอบด้วย บริษัท Wave BCG และบริษัท Wave Education Group และ Wave Wellbeing

บริษัท Wave Education Group  ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา  Wallstreet  ซึ่งเป็นสถาบันสอนภาษาอังกฤษชั้นนำของโลก มีการดำเนินการทั่วโลกมากกว่า 50 ปี และในประเทศไทยมากกว่า 20 ปีตั้งแต่ปี 2546 (2003) มีนักเรียนกว่า 100,000 คนที่จบหลักสูตร มียอดขายสูงที่สุดใน Asia โดยคู่แข่งอันดับ 2 และ 3 ต่างกันถึง 20% และ 30% ตามลำดับ โดยมีแผนการขยายสาขาในประเทศไทยและเซาท์อีสเอเชีย (SEA) ด้วย franchising model มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสร้างรายได้ให้กับกลุ่ม WAVE มาตลอด   โดยในปี 2568 มีเป้าหมายจะเปิดสาขาทั้งในประเทศและเซาท์อีสเอเชีย (SEA) ในรูปแบบแฟรนไชส์   เพิ่มให้ได้ถึง 24 สาขา จากปัจจุบัน Wallstreet มีสาขาทั้งหมด 11 สาขา และสาขาแฟรนไชส์อีก 2 สาขา โดยปัจจุบัน Wallstreet ประเทศไทย มีส่วนแบ่งตลาดในส่วนของกลุ่มลูกค้าพรีเมียมกว่า  35%

ส่วนบริษัท Wave BCG จะเป็น S-curve ใหม่สำหรับ Wave ในการดำเนินธุรกิจ คาร์บอน เครดิต ซึ่งถือเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก บริษัทจะเป็นผู้ให้บริการธุรกิจคาร์บอน เครดิต ครบวงจร ทั้งด้านการเป็นที่ปรึกษาสำหรับผู้ซื้อ และผู้ขาย สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท สนับสนุนการขึ้นทะเบียน คาร์บอนเครดิต การตรวจสอบการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท การจัดหาคาร์บอน เครดิต ให้องค์กรในไทย และเซาท์อีสเอเชีย (SEA) รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้าน Climate Tech

นายเจมส์ กล่าวว่า สำหรับจุดเด่นที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตของบริษัท ประกอบด้วย เป็นผู้ถือครอง RECs รายใหญ่เป็นที่ 1ใน 3 อันดับแรกในประเทศไทย (ซื้อ ส่วนแบ่งตลาด RECs ในเวียดนาม 25 % ในปีที่ผ่านมา) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโครงการสภาพภูมิอากาศ, เป็นที่ปรึกษาและจัดทำ Feasibility Study ในการปลูกและฟื้นฟูป่าไม้ (มากถึง 3 ล้านไร่ทั่ว SEA)รวมทั้งการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้งเพื่อได้คาร์บอนเครดิตและข้าวแบบ “low carbon rice” (เริ่มเฟสแรกประมาณ 2 พันไร่) และปลูกพืชเกษตรแบบยั่งยืนมากถึง 1,800 ไร่ ทั่วประเทศ

นอกจากนี้บริษัทอยู่ในคณะทำงานกรมวิชาการเกษตรเพื่อวิจัยการปลูกพืชเกษตรเพื่อลดคาร์บอน เพื่อสนับสนุนการเกษตรและช่วยลดคาร์บอนในต้นน้ำของ supply chain ให้แก่บริษัท และสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อการเกษตรที่ยั่งยืน ความร่วมมือกับผู้ให้บริการโซลูชั่นชั้นนําด้านการลดการปล่อยมลพิษ และกำลังจับมือกับผู้ตรวจสอบและ verifierระดับโลก เพื่อร่วมกับสนับสนุนผู้ประกอบการไทยสำหรับอุตสาหกรรมและบริษัทในตลาดหลักทรัพย์และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency)

เป็นผู้สนับสนุนการจัดงานที่เป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับอุตสาหกรรม MICE  ให้กับ MVP (EV and Mobile Expo) ซึ่งเป็นงาน Carbon Neutral Expo แรกในไทย เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนของ MICE Industry รวมทั้งเป็นผู้สนับการจัดคอนเสิร์ต Festival ที่เป็นกลางทางคาร์บอนให้กับ One Asia (Siam Songkran 2023) ซึ่งเป็นงานแรกในเอเชีย

นายเจมส์ กล่าวอีกว่า ในส่วนธุรกิจใหม่อีกธุรกิจคือ Wave Wellbeing ที่จะขยายตัว เข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยว เนื่องกับไลฟ์สไตล์ และสุขภาพ โดยมุ่งเน้นสุขภาพที่ดีสำหรับทุกวัย และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน

ส่วนผลการดำเนินงานงวดปี 2565 กลุ่มลูกค้าสถาบันสอนภาษาของบริษัทมีแนวโน้มกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสที่ 4 สอดคล้องกับธุรกิจการศึกษาที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด   ประกอบกับบริษัทมีนโยบายส่งเสริมทางการตลาด จากการขายคอร์สเรียนออนไลน์และขายคอร์สเรียนในรูปแบบที่มีระยะเวลายาวขึ้น ทำให้ภาพรวมของรายได้ของธุรกิจสอนภาษากลับมา มีรายได้จากการให้บริการ 286.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และมีผลขาดทุนสุทธิสำหรับปี 65.81 ล้านบาท ขาดทุนลดลง 626.96 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

ในส่วนของสถานะทางการเงินของบริษัท ณ สิ้นปี 2565 บริษัทมีการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยมีการเพิ่มทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) เพื่อนำมาลงทุนในธุรกิจใหม่ เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนหนี้ ส่งผลให้หนี้สินลดลง และส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น อีกทั้งยังมีการขายธุรกิจที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางใหม่ของ WAVE ซึ่งผลจากการปรับโครงสร้างทำให้บริษัทสามารถแก้ไข “C” ได้เรียบร้อย เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2566 จากการดำเนินการทั้งหมด WAVE จะกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ในปีนี้

“ในปีนี้ Focus ของ Wave คือการเทิร์นอะราวด์ การลงทุนเพื่ออนาคต จัดหาคาร์บอนเครดิตเพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรในไทยและ SEA ปรับโครงสร้างองค์กร สร้างทีมงานและบุคลากรที่มีคุณภาพ การสร้าง Key Accounts และพัฒนานวัตกรรมด้าน Climate Tech เพื่อสนับสนุนการลดคาร์บอนในองค์กร รวมถึงการพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น franchising model ของ Wallstreet เพื่อขยายธุรกิจไปยัง SEA (South East Asia)โดยรวมเรามีการตั้งเป้าที่ท้าทายในการเติบโตธุรกิจของ Wave และดำเนินการธุรกิจอย่างใกล้ชิดกันเพื่อหา Synergy ร่วมกันสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน” นายเจมส์ กล่าว

- Advertisement -