บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

CK Power (CKP.BK/CKP TB)*

ประมาณการ 1Q66F: จะเป็นไตรมาสที่อ่อนแอที่สุด

Event

ประมาณการ 1Q66 และอัพเดตแนวโนมของบริษัท

Impact

ประมาณการ 1Q66F – จะเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุด โดยยังบริหารจัดการน้ำได้ดี

วันที่ 11 พ.ค. เราคาดว่า CKP จะรายงานขาดทุนสุทธิ 6 ลบ. ใน 1Q66F (จากที่มีกำไรสุทธิ 72 ลบ. ใน 4Q65 และ 39 ลบ. ใน 1Q65) แต่หากไม่รวมกำไรจาก FX 10 ลบ. CKP จะมีผลขาดทุนหลัก 16 ลบ. (จากที่มีกำไร หลัก 88 ลบ.ใน 4Q65 และ 38 ลบ.ใน 1Q65)

เป็นไตรมาสที่กระแสน้ำต่ำสุดตามฤดูกาล

ผลประกอบการที่แย่ลง YoY จะเป็นเพราะผลประกอบการของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำอ่อนแอลง (กระแสน้ำเข้าเขื่อนลดลงเพราะผลกระทบจาก El Nino) ในขณะที่ผลการดำเนินงานของโครงการ BIC1- 2 (SPPs) ) ดีขึ้น ส่วนผลประกอบการที่แย่ลง QoQ เป็นเพราะเป็นช่วง low season ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ แม้ว่า SG&A จะกลับมาอยู่ระดับปกติ และผลการดำเนินงานของโครงการ BIC1-2 จะแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะได้อานิสงส์จากการขึ้นค่า Ft เป็น 1.55 บาท/kWh (+0.61) ในขณะที่ราคาก๊าซเฉลี่ยของ SPP ทรงตัว ทั้งนี้ ปริมาณการจ่ายไฟฟ้าของโครงการ NN2 ลดลงมาอยู่ที่ 319GWh (-15% QoQ, + YoY) เนื่องจากแนวทางการดำเนินงานแบบอนุรักษ์นิยมก่อนเข้าช่วงหน้าน้ำ ในขณะที่ยอดผลิตไฟฟ้าของโครงการไซยะบุรีลดลงมาอยู่ที่ 1,265GWh (-27% QoQ, -10% YoY) เนื่องจากมีการซ่อมบำรุง และกระแสน้ำเข้าจากอ่างเก็บน้ำ Xiaowan และ Nuozhadu ลดลง

ประมาณการ 2Q66F – กำไรจะดีดตัวขึ้น QoQ ตามฤดูกาล แต่จะลดลง YoY

เราเชื่อว่าผลการดำเนินงานของ CKP ใน 2Q66 จะดีดตัวขึ้น QoQ เหมือนที่เคยเป็นมาในอดีต เนื่องจากกระแสน้ำเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของ NN2 และไซยะบุรี ดังนั้น เราจึงคาดว่าผลประกอบการจะแย่ลง YoY เนื่องจากดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะ El Niño (อากาศอุ่นขึ้น) ใน 2H66 ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 25bps จะทำให้กำไรของ CKP ลดลง 90-95 ล้านบาทต่อปี เพราะหนี้ของ CKP ประมาณ 20% คิดดอกเบี้ยลอยตัว (ส่วนใหญอิงกับ THBFIX) ในขณะที่หนี้ประมาณ 80% ของไซยะบุรีคิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ซึ่งอิงกับ LIBOR และ MLR นอกจากนี้ เรายังมองว่ามีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดภาวะ El Niño (อากาศอุ่นขึ้น) โดยมีความน่าจะเป็นที่ 70-85% ซึ่งเริ่มจากเดือนเมษายน 2566 เมื่อเทียบกับข้อมูลในปี 2565

Valuation & Action

ราคาหุ้น CKP ร่วงลงมา 15% YTD (valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต -1 S.D.) จากภาวะตลาดอ่อนแอ, ดอกเบี้ยขาขึ้น และมีโอกาสเกิดภาวะ El Niño แต่เรายังคาดว่าราคาหุ้นน่าจะขยับขึ้นตามรูปแบบในอดีต ซึ่งจากการศึกษาของเราพบว่ามักจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในช่วงปลายไตรมาสที่สอง-สาม สอดคล้องกับทิศทางกำไรตามฤดูกาล  ดังนั้นจึงยังเหลือเวลาอีกราวหนึ่งไตรมาสที่จะพิสูจน์ว่ารูปแบบดังกล่าวจะเกิดซ้ำอีกในปีนี้หรือไม่ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 5.60 บาท

Risks การปิดโรงงานนอกแผน, ปัญหา cost overrun, และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย

- Advertisement -