KS Daily View 10.05.2023 >>> รอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนนี้ คาด CPI +5.0% YoY/ Core +5.5% YoY SET คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,585 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ MAKRO, AAV
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้
ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.17%, S&P 500 -0.46%, และ NASDAQ -0.63% โดยSector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Industrials (+0.17%) และ Energy (+0.04%) ส่วน Sector ที่underperform ได้แก่ Material (-0.93%), IT (-0.85%), และ Healthcare (-0.69%)
ในประเทศ: SET Index ปรับตัวขึ้น +2.41 จุด หรือ +0.115% เป็น 1,564.66 หนุนโดย BYD (+7.3%), FORTH (+5.3%), STGT (+4.9%), RBF (+4.9%) ขณะที่ตัวที่ปรับตัวแย่กว่าตลาดได้แก่ BANPU (-3.4%), BH (-2.4%), and CPN (-2.1%)
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบ 1,550-1,585 จุด รอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯเดือน เม.ย. คาด +0.4% MoM และ +5.0% YoY ส่วนตัวเลข Core inflation ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด +0.4% MoM และ +5.5% YoY KS ยังคงมุมมองว่าเฟดได้จบรอบขึ้นดอกเบี้ยที่ 5-5.25% หลังจากนี้มีโอกาสเห็นแบงค์ขนาดเล็ก 3-5 ล้มเหมือน SVB, FRB และผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยที่เป็น lagging indicator ต่ออสังหา, ภาคการจ้างงาน และคาด service inflation จะค่อยๆกดลงมา รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐ 3Q23 จะเริ่มติดลบ จากเหตุผลทั้งหมดที่เรากล่าวมาโดยเราประเมินต่อว่า FED จะเริ่มส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนสิงหาคมนี้ (Jackson Hole) สอดคล้องกับมุมมองของตลาดล่วงหน้าที่คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกของปีในการประชุมเดือน ก.ย. ปีนี้ ในส่วนของ Fund flow แม้นักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นไทย 3.6 พันลบ. และเปิด net short SET50 futures -8,259 แต่มองเป็นการขายทำกำไรรอดูผลการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. ในทางตรงกันข้ามนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรต่อเนื่องอีก 2.5 หมื่นลบ. โดยทาง KS ยังคงมุมมองว่านักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้าสะสมหุ้นไทยจากที่ขายสุทธิกว่า 6 หมื่นลบ.ตั้งแต่ต้นปี หลังการจัดตั้งรัฐบาลมีความชัดเจน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง (ล่าสุดอยู่ที่33.6-33.7 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าสุดในรอบ 3 เดือน) จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และการอ่อนค่าของUSD ขณะที่หุ้นไทยปรับตัวลงแรงกว่าภูมิภาคจากต้นปี SET Index -6.8% vs. MSCI Asia ex Japan +2.2% และS&P500 +7.7% เราประเมินว่า ณ ระดับปัจจุบัน เรามองเป็นโอกาสในการกลับมาทยอยสะสมหุ้นไทยอีกครั้ง เป้า 1,666 จุด
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) การส่งออกของจีนในเดือนเมษายน +8.5% YoY เทียบกับประมาณการ +8% YoY และ 14.8% YoY ก่อนหน้านี้หลักๆจากฐานต่ำ หากหักผลด้านราคาและฤดูกาลตัวเลขส่งออกของจีนจะลดลงประมาณ -4% YoY ส่วนการนำเข้า-7.9% YoY เทียบกับประมาณการ +0% YoY และ -1.4% YoY ก่อนหน้านี้ บ่งชี้ให้เห็นว่าอุปสงค์ทั่วโลกสำหรับสินค้าจีนยังคงอ่อนแอ
2.) ประธานาธิบดี Joe Biden และพรรค Republican ล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงหลังจากการประชุมครั้งใหญ่ครั้งแรกเพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตเพดานหนี้ โดยจะประชุมใหม่ในวันศุกร์
3.) จีนส่งสัญญาณเตรียมออกมาตรการตอบโต้ หากสหภาพยุโรปจะออกมาตรการกีดกันบริษัทจีนจากข้อกล่าวหาว่าจีนมีการจัดหาสินค้าที่ใช้ได้ทั้งวัตถุประสงค์ทางการทหารและพลเรือนแก่รัสเซีย นอกจากนี้อิตาลีส่งสัญญาณว่าตั้งใจจะถอนตัวจากข้อตกลงการลงทุนกับจีนก่อนสิ้นปีนี้
4.) งบ 1Q23 ที่รายงานวานนี้ ดีกว่าคาด (AP, STGT, IRPC, BCPG, TIDLOR), ตามคาด (ASK, SPALI, SHR, JASIF) และแย่กว่าคาด (STA, SNNP, DCC, KCE, MTC, THCOM, QH) ส่วนหุ้นที่ นวค. มีการปรับคำแนะนำคือ IIG (ลดคำแนะนำ เป็น ถือ เป้า 31.77 บาทจาก 50.84 บาท)
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- MAKRO (ราคาพื้นฐาน 46 บาท) เก็งกำไรบนคาดการณ์ได้เข้าคำนวณดัชนี MSCI รอบนี้ (ประกาศผลวันที่ 11 พ.ค. หรือเช้าวันที่ 12 พ.ค. ของไทย) นอกจากนี้ประเมินว่า MAKRO จะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายหาเสียงเลือกตั้ง การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวมากขึ้นจะสนับสนุนการเติบโตของยอดขายของบริษัท ทั้งนี้ SSSG ของ MAKRO ยังควบวก 7-9% ใน 2Q23
- AAV (ราคาพื้นฐาน 3.10 บาท) คาดพลิกมีกำไร 290 ลบ. ใน 1Q23 จากจำนวนผู้โดยสารโต 216% YoY และ 13% QoQ และค่าโดยสารโต 433% YoY และ 6% QoQ โดยแนวโน้ม 2Q23 ยังดีต่อเนื่องจากการที่นักท่องเที่ยวจีนจะเร่งตัวขึ้นจากจำนวน Flight บินเพิ่ม นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะช่วยให้ซื้อน้ำมันได้ในราคาถูกลง
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
1.) หุ้นที่เราคาดผลประกอบการไตรมาส 1Q23 แข็งแกร่ง นำโดย (AURA , AMATA, CK) AURA หากอิงจากราคาทองคำ (ล่าสุดแตะรับสูงสุดที่ 2,060 ดอลลาร์สหรัฐฯ) รวมถึงความผันผวนของค่าเงินบาทส่งผลให้เราคาดว่ายอดซื้อขายทองคำหน้าร้านจะเพิ่มขึ้น โดยคาดกำไรไตรมาส 1Q23 เติบโต 14%QoQ, 21%YoY ที่ 257ล้านบาท คิดเป็น27%ของประมาณการกำไรปีนี้ ในขณะที่ใกล้ช่วงเปิดเทอมในไตรมาส 2Q23 คาดรายได้จากธุรกิจจำนำจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเราปรับประมาณการคำแนะนำขึ้นจากถือเป็น ซื้อ ด้วยราคาเหมาะสมที่ 19.34 บาท/หุ้น AMATA บนเม็ดเงิน FDI ไหลเข้าเพิ่มขึ้นจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ-จีน และความเชื่อมั่นภาคเอกชนหลังการเลือกตั้ง ส่วน CK มองได้ sentiment บวกจากการประมูลงานรัฐกลับมาหลังเลือกตั้ง และราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายไม่แพง มีส่วนลดจากมูลค่าสินทรัพย์ถือครองอยู่ที่ 41%
2.) กลุ่มธนาคาร (BBL, KTB) เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ BBL เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่เราคาดว่าการประชุมกนง.ในช่วงไตรมาส 2Q23 มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง โดยคาดผลประกอบการของบริษัทจะฟื้นตัวต่อเนื่องทั้งในเชิง QoQ และ HoH จากการขยายตัว Loan Growth และ NIM (%) ในระดับ 4-5% และ 2.7% ตามลำดับ ในขณะที่ประเมินการตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังจะเริ่มลดลง สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา เราได้ปรับประมาณการกำไรปี 2023-25 ขึ้น 7-12% ตามลำดับพร้อมปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 182.5บาท
3.) กลุ่มการเงิน (AEONTS) มองค่าแรงขั้นต่ำ/เงินเดือน ป.ตรีมีโอกาสปรับขึ้นจากนโยบายของพรรคการเมืองที่มีคะแนนนำในขณะนี้จะหนุน Loan growth ของบริษัทสูงกว่าเป้าที่ 5-10% เราเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีทั้งในเชิง QTD ทั้งการเติบโตของการเติบโตสินเชื่อ และคุณภาพสินทรัพย์ ทำให้เราคาดว่ากำไร 4QFY66 ที่อ่อนแอจะเป็นจุดต่ำสุดและคาดกำไรไตรมาส 1QFY67 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ:
- วันพุธ ติดตาม ตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด +0.4% MoM และ +5.0% YoY ตัวเลข Core inflation ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด +0.4% MoM และ +5.5% YoY และปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
- วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย เดือน เม.ย. ตัวเลขเงินเฟ้อจีนเดือน เม.ย. คาด +0.1% MoM และ +0.9% YoY ตัวเลข Producer Price Index (PPI) ของจีนเดือน เม.ย. คาด-2.1% YoY ตัวเลข PPI ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด +0.3% MoM และ +2.5% YoY
- วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข GDP 1Q23 ของอังกฤษคาด +0.1% QoQ และ +0.2% YoY ตัวเลข Michigan Consumer Sentiment ของสหรัฐฯ เดือนพ.ค. คาด 63 จุด (-0.8% MoM)