บล.ทรีนีตี้:
เงินติดล้อ – TIDLOR
ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30 บาท / Upside/Downside +30% / Median Consensus 28 บาท
กำไร 1Q66 ออกมาดีกว่าที่เราและตลาดคาดเล็กน้อย
- คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 30 บาท (อิงวิธี Gordon Growth Model ด้วย PBV ที่ 3 เท่า)
- TIDLOR ประกาศกำไร 1Q66 ที่ 955 ล้านบาท +16.9% YoY, +1.6% QoQ จากการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ +26.3% YoY, +2.1% QoQ และรายได้จากค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันที่โต 30.6% YoY รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ดี
- credit cost ของบริษัทอยู่ที่ 2.8% ในขณะที่ NPL อยู่ที่ 1.50% (อยู่ที่ 1.30% ช่วง 1Q65 และ 1.58% ช่วง 4Q65) ต่ำกว่าที่เราคาดไว้ที่ 1.56%
- คงประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 3,939 ล้านบาท +8.21% YoY จากพอร์ตสินเชื่อที่โต 13% แต่กำไรถูกกดันจาก credit cost ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 2.4%
Earning Review
TIDLOR ประกาศกำไร 1Q66 ที่ 955 ล้านบาท +16.9% YoY, +1.6% QoQ
1) พอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 79,676 ล้านบาท +26.3% YoY +2.1% QoQ โตจากบัตรติดล้อที่เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงได้ 24 ชั่วโมง และพอร์ตสินเชื่อโดยรวม ด้านรายได้ดอกเบี้ยอยู่ที่ 3,567 ล้านบาท +29.0% YoY, +1.3% QoQ
2) รายได้อื่นๆ อยู่ที่ 778 ล้านบาท +30.6% YoY -8.2% QoQ โดยหลักมาจากค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันที่โตได้ดี YoY แต่ลดลง QoQ เพราะปัจจัยตามฤดูกาล
3) Cost of fund อยู่ที่ 2.71% +11.5% YoY, +0.8% QoQ เพิ่มขึ้นจากการออกหุ้นกู้เพิ่มรองรับการขยายพอร์ตสินเชื่อ
4) Cost to income อยู่ที่ 53.7% (-6.7% YoY, -8.2% QoQ) ลดลง YoY และ QoQ เนื่องจากค่าใช้จ่ายโตช้ากว่ารายได้ดอกเบี้ย โดย Net OPEX เพิ่มขึ้น 19.2% YoY ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยโต 29.0%
5) NPL อยู่ที่ 1.50% จาก 1.30% ใน 1Q65 และ 1.58% ใน 4Q65 ยังทรงตัว QoQ โดยเราคาดว่า NPL จะ peak ในไตรมาส 2 – 3 ด้าน credit cost อยู่ที่ 3.1% (อยู่ที่ 0.9% ใน 1Q65 และ 3.29% ใน 4Q65) ยังอยู่ในเป้าที่ผู้บริหารให้ไว้ที่ 3% – 3.5% และ coverage ratio จะอยู่ที่ 270% (อยู่ที่ 317% ใน 1Q65 และ 249% ใน 4Q65)
2566 Outlook
คาดว่ากำไรปี 2566 โต 5% – 10% จากพอร์ตสินเชื่อที่โต 15% – 20% แต่กำไรถูกกดดันจาก credit cost ในขณะที่ธุรกิจประกันยังสามารถโตได้ในระดับ 20% และคาดว่า NPL ของบริษัทจะค่อยๆ เพิ่ม และ peak ในไตรมาส 2 ปี 2566 ก่อนปรับตัวลดลง
ความเสี่ยง: ความเสี่ยงจากหนี้เสีย, cost of fund ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ credit cost จากการตั้งสำรอง