บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในนามโรงพยาบาลเครือ ‘พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ระบุ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 รวม 1,210.2 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ในช่วงการระบาดโควิด-19 อยู่ที่ 1,986.9 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงพยาบาล 1,009.9 ล้านบาท ธุรกิจสถานพยาบาลขนาดย่อม ได้แก่ คลินิกเวชกรรมใกล้บ้านใกล้ใจ (คลินิกบัตรทอง), คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม ผิวดีคลินิก ฯลฯ รวม 59.2 ล้านบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 141.1 ล้านบาท
นพ.กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.พริ้นซิเพิล แคปิตอล หรือ PRINC เปิดเผยว่า ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แม้รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 (Covid) ลดลงมาก จากฐานรายได้โควิดที่สูงในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่รายได้ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 (Non-Covid) ของธุรกิจโรงพยาบาลในเครือฯทุกแห่งเพิ่มขึ้นมากถึง 209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 จากช่วงเดียวกันของที่ผ่านมา เป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ขยายฐานกลุ่มผู้รับบริการจากการเปิดศูนย์การแพทย์/คลินิกเฉพาะทางในโรงพยาบาลในเครือฯแห่งต่างๆเพื่อให้บริการรักษาโรคเฉพาะทาง โรคยากซับซ้อนอย่างต่อเนื่อง รายได้จากผู้เข้ารับบริการชาวต่างชาติทั้ง สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ จีน ฯลฯ และจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลที่เปิดดำเนินการใหม่อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีการปรับโครงสร้างการบริหารงาน เพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจและสอดรับกับการเปลี่ยนแปลง โดยยังคงเป้าหมายขยายธุรกิจโรงพยาบาล ‘เครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์’ ให้ครบ 20 แห่ง จากปัจจุบันเปิดดำเนินการแล้ว 14 แห่งใน 11 จังหวัด ส่วนคลินิกเวชกรรมใกล้บ้าน ใกล้ใจ (คลินิกบัตรทอง) ตั้งเป้าขยายให้ครบ 100 แห่ง จากปัจจุบัน 37 แห่ง และธุรกิจคลินิกเสริมความงาม ภายใต้แบรนด์ผิวดีคลินิก (PEWDEE CLINIC) มีแผนขยายเพิ่มจากปัจจุบัน 13 สาขาไปสู่ 20 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
“บริษัทฯ ประเมินผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสถัดไป คาดภาพรวมจะกลับมาเป็นปกติ และแนวโน้มผู้ป่วย Non-Covid ที่เข้ารับบริการยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผู้รับบริการชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น จากเดิมสัดส่วนรายได้อยู่ที่ร้อยละ 3 ถึง 5 ขยับขึ้นเป็นร้อยละ 7 ถึง 9 ของรายได้รวมในกลุ่มโรงพยาบาลที่มุ่งขยายฐานให้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติ ขณะเดียวกันในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 คาดรับรู้รายได้ที่เกิดขึ้นจากการเข้าซื้อและรับโอนกิจการในโรงพยาบาลรวมแพทย์ พิษณุโลก ขนาด 100 เตียง และการขยายธุรกิจเฮลท์แคร์เพิ่มเติม
ส่วนภาพรวมในปี 2566 นี้ได้จัดสรรงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาทลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ การขยายศักยภาพคลินิกและศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง ด้านโรคกระดูกและข้อ หัวใจ สมองและหลอดเลือด การรักษาโรคมะเร็ง การดูแลและเคลื่อนย้ายผู้ป่วยฉุกเฉิน ฯลฯ โดยเน้นการตอบสนองความต้องการการรักษาพยาบาลในแต่ละพื้นที่ และยังแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์และอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนให้องค์กรมีรายได้เติบโต และยั่งยืนต่อไป” นพ.กฤตวิทย์ กล่าว .-