KS Daily View 17.05.2023 >>>  มองความเสี่ยง US default ต่อหุ้นไทยจำกัด หนุนเงินทุนไหลเข้าไทย SET คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,520-1,585 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ KTB, SIRI

สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้

ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -1.01%, S&P 500 -0.64%, and NASDAQ -0.18% โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่ Communication Services (+0.6%), IT (+0.2%), Consumer Discretionary (-0.5%) ส่วน Sector ที่ underperform ได้แก่ Real Estate (-2.6%), Energy (-2.5%), Materials (-1.6%)

ในประเทศ: SET Index -1.54pts. หรือ -0.10% เป็น 1,539.84 ตัวที่ outperform ได้แก่ NEX (+6.3%), BYD (+4.8%), SINGER (+4.6%), BEC (+4.4%) ขณะที่ตัวที่ปรับตัวแย่กว่าตลาดได้แก่ CK (-7.9%), HANA (-6.9%), JAS (-6.8%), SAWAD (-6.3%)

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นต่อในกรอบ 1,520-1,585 จุด รอการจัดตั้งรัฐบาล โดย K Research คาดการตั้งรัฐบาลล่าช้าจะทำให้การผ่าน พรบ. งบประมาณประจำปี 2567 อาจล่าช้า 3 เดือนไปถึงสิ้นปี 2567 ประเมินกระทบหลักๆจากการล่าช้าไป 3 เดือนราวๆ -0.1% ของ  GDP โดยกระทบ Public investment ขณะที่ Public spending ไม่ค่อยกระทบเพราะส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำ คาด GDP ไทย 2023 ยังโต 3.7% ในส่วนปัญหา Debt Ceiling และความเสี่ยงที่สหรัฐฯอาจผิดนัดชำระหนี้นั้นทาง KS ประเมินผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยจำกัด เพราะพรรคการเมืองทั้งสองพรรคของสหรัฐฯ จะสามารถตกลงขยายเพดานหนี้ได้ในที่สุด ในทางตรงกันข้ามมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนภาวะ Gridlock ทางการเมืองในสหรัฐฯ ทำให้การดำเนินนโยบายการคลังมีปัญหา จะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าไทยมากขึ้น เนื่องจากค่าเงิน USD มีแนวโน้มจะอ่อนค่า โดยล่าสุดนักลงทุนต่างชาติได้ซื้อสุทธิตราสารหนี้ในไทยกว่า 76,415 ลบ. แล้วจากต้นปี โดยส่วนใหญ่เป็นตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งทางทีม KBANK มองว่ามีโอกาสที่เงินก้อนนี้จะหมุนเข้ามาซื้อหุ้นไทยในอนาคตเช่นกัน หากการตั้งรัฐบาลลุล่วงคลายสถานการณ์ Gridlock ในขณะนี้

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) ปธน. โจ ไบเดน จะรีบเดินทางกลับวอชิงตันในวันอาทิตย์หลังการประชุม G7 เพื่อหารือกับประธานสภาเควิน แมคคาร์ธี เพื่อหาทางบรรลุข้อตกลงเพื่อเพิ่มเพดานหนี้และป้องกันการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล โดยนาง เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังเตือนว่าเส้นตาย คือ วันที่ 1 มิถุนายน โดยหากสหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ คาดว่าอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ (AAA, Aaa และ AA+ โดย Fitch, Moody’s และ S&P) ก็จะถูกปรับลดลง คาดจะเห็นแรงขายในสินทรัพย์เสี่ยง (ตราสารทุนและหุ้นกู้) ไปยังสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ รวมถึงทองคำ) เนื่องจากการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ นั้นเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น และจะคลายตัวหากสามารถขยายเพดานหนี้ได้ ในส่วนการในการช่วยเหลือจากเฟดกรณีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ มีจำกัด โดยเฟดอาจถอดหลักทรัพย์ที่ผิดนัดชำระออกจากการหมุนเวียนไปก่อน หรือให้แลกพันธบัตรที่มีปัญหากับรุ่นอื่นๆ นอกจากนี้เฟดอาจอัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มผ่านหน้าต่างซื้อคืนผ่านการทำ QE เพิ่ม

2) แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) วางแผนลงทุนมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท (590 ล้านดอลลาร์) ในปี 2566 จากประมาณ 1 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว ตามที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร วัลลภา ไตรโสรัส กล่าว โครงการหลักของบริษัท ได้แก่ คอมเพล็กซ์ที่เน้นการท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ และโรงแรมใหม่ๆ ในจุดหมายปลายทางสำคัญๆ เช่น พัทยาและภูเก็ต เธอกล่าว

3.) รัฐบาลซาอุฯ กำลังทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินในการขายหุ้น Aramco เพิ่มเติมเพื่อนำเงินไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆนอกเหนือจากพลังงาน โดยปัจจุบันรัฐบาลซาอุดิอาระเบียถือหุ้นโดยตรงประมาณ 90% ของ Aramco และอีก 8% ถือโดยกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ ทั้งนี้การเสนอขายหุ้นทุกๆ 1% จะสามารถระดมทุนได้มากกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์

4.) สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังสูญเสียโมเมนตัมหลังจากที่ผู้บริโภคและกิจกรรมทางธุรกิจเริ่มชะลอตัว ทำให้มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลจีนมีการกระตุ้นนโยบายมากขึ้นเพื่อหนุนการเติบโต

5.) ผลประกอบการตลาดหุ้นไทยใน 1Q23 อยู่ที่ 266,402 ลบ. เติบโต 13.6% YoY, 57.4% QoQ แต่หากหักกลุ่มพลังงาน/ทรัพยากรออก กำไร SET (exc Resources) จะอยู่ที่ 182,915 ลบ. เติบโต 27.5% YoY, 35.9% QoQ โดยกลุ่มที่รายงานกำไรเติบโตเด่นๆ ได้แก่ Bank, Insurance, Automotive, Construction material, Property Fund & REITs, Tourism, Transport

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

เน้นหุ้น Domestic play ที่ผลประกอบการไตรมาส 1Q23 แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโตหลังการเลือกตั้งจากนโยบายกระตุ้นของภาครัฐ และความเชื่อมั่นภาคเอกชนฟื้นตัว ได้แก่ KTB, CPALL, CK, TOA, SAK, AEONTS SIRI เป็นต้น

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • KTB (ราคาพื้นฐาน 24.75 บาท) เรามีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยจากการประชุมนักวิเคราะห์ของ KTB เมื่อวานนี้ เนื่องจากผู้บริหารคาดว่า NIM จะสูงขึ้นในไตรมาส 2/66-3/66 ด้วยต้นทุนที่ควบคุมได้ เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566-2568 ขึ้น 10.6-11.2% เนื่องจาก CIR ที่ลดลงและ NIM ที่สูงขึ้น NIM จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าต้นทุนเครดิต เราไม่กังวลมากนักกับดอกเบี้ยค้างรับที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจาก 7 ระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ของรัฐบาล ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 24.75 บาท (จาก 20.40 บาท)
  • SIRI (ราคาพื้นฐาน 2.10 บาท) แนวโน้มการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของหุ้นจะมีบทบาทสำคัญในการลดช่องว่างระหว่างราคาหุ้นและราคาเป้าหมายของเรา นอกจากนี้ โครงการร่วมทุนใหม่และคอนโดที่สร้างไว้ล่วงหน้าทำให้เล็งเห็น upsides จากประมาณการปัจจุบันของเรา

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ:

  • วันพุธ ติดตาม ตัวเลข GDP 1Q23 ของญี่ปุ่น คาด +0.1% QoQ และ +0.7% YoY ดัชนี House Price index ของจีนเดือน เม.ย. คาด -0.2% YoY (เทียบเดือนก่อนหน้าที่ -0.8% YoY) ตัวเลข Building Permits ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด 1.43M (+0.2% MoM) ตัวเลข Housing Stars ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด 1.4M (-1.5% MoM) และปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ
  • วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขส่งออกของญี่ปุ่นเดือน เม.ย. คาด +3% YoY ตัวเลข Initial Jobless Claim ของสหรัฐฯ รายสัปดาห์คาด +254K (เทียบสัปดาห์ก่อนที่ +264K) ตัวเลข Existing Home Sales ของสหรัฐฯ เดือน เม.ย. คาด4.4M (-1% MoM) ถ้อยแถลงของ Fed Jefferson
  • วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข CPI ของญี่ปุ่นเดือน เม.ย. คาด +0.1% MoM และ +3.2% YoY ตัวเลข Core CPI ของญี่ปุ่นเดือน เม.ย. คาด +3.2% YoY ตัวเลข PPI ของเยอรมันเดือน เม.ย. คาด +6.1% YoY และถ้อยแถลงของ Fed Chair Powell
- Advertisement -