บล.ฟิลลิป:
PTT: ยังคงมีความกังวลจากนโยบายภาครัฐ
ซื้อ TP’66 : 45.00
แม้ในระยะสั้นยังมีปัจจัยกดดันจากนโยบายภาครัฐฯ แต่ทางฝ่ายคาดว่าผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปียังคงแข็งแกร่ง จากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่อ่อนตัวลง และราคาน้ำมันดิบที่มีปัจจัยหนุนจากสภาพตลาดที่ตึงตัว ซึ่งทางฝ่ายคาดว่า ปตท. ยังคงสามรถจ่ายเงินปันผลได้ที่ระดับ 2 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น Dividend yield ราว 6.4% และยังคงคําแนะนํา “ซื้อ”
- ผลกระทบจากนโยบายภาครัฐ: จากนโยบายการจัดสรรก๊าซธรรมชาติของพรรคก้าวไกล ที่จะปรับราคาก๊าซธรรมชาติให้เท่ากันในทุกธุรกิจ และลดปริมาณการนำก๊าซฯ ในอ่าวไทยเข้าสู่โรงแยกก๊าซ (GSP) ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแยกก๊าซ และธุรกิจปิโตรเคมี (PTTGC) ของกลุ่ม ปตท. ซึ่งปัจจุบัน ปตท. อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อชี้แจงในประเด็นดังกล่าวต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทางฝ่ายคาดว่าการจัดสรรก๊าซในรูปแบบดังกล่าวอาจช่วยลดค่าไฟฟ้าลงได้บางส่วน แต่จะไม่มีนัยมากนัก เนื่องจากปริมาณก๊าซที่ใช้สำหรับโรงแยกก๊าซคิดเป็นเพียง 18-19% ของปริมาณก๊าซฯทั้งหมด แต่ประเด็นดังกล่าวยังต้องรอความชัดเจนหลังจากจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในระยะสั้นถึงกลาง
- คาดผลการดำาเนินงานในช่วงที่เหลือของปียังแข็งแกร่ง: แนวโน้มราคา LNG spot ที่อ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในเชิง QTD อยู่ที่ 11.7 ดอลลาร์/MMBTU อ่อนตัวลง 25.5% q-q และ 62% y-y ส่งผลให้คาดว่าแนวโน้มของ pool price จะอ่อนตัวลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อต้นทุนของธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ดำเนินงานเอง และต้นทุนของธุรกิจโรงไฟฟ้า (GPSC) นอกจากนี้ ปตท. คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบในปี 66 จะอยู่ที่ราว 79-84 ดอลลาร์/bbl โดยมีแรงหนุนจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวมากขึ้นของจีน และการลดกำลังการผลิตของ OPEC+ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจต้นน้ำ (PTTEP)