บล.ทรีนีตี้:
บางกอก เชน ฮอสปิทอล – BCH
ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท / Upside/Downside 17% / Median Consensus 22 บาท
กำไรลดลงตามสัดส่วนรายได้ COVID-19 แต่ Non-COVID เติบโตดี
- คาด 2Q66 ฟื้นตัวได้ QoQ จากการกลับมาระบาดของ COVID-19 และปรับเพิ่มอัตราเหมาจ่ายรายหัวในเดือนพ.ค. 2566 แต่ยังคงปรับตัวลดลง YoY จากฐานที่สูง
- การเพิ่มขึ้นของคนไข้ต่างชาติที่สามารถปรับเพิ่มจากกลุ่มตลาดใหม่ และการยกระดับการรักษาโรคซับซ้อนที่หนุนรายได้/บิล ให้สูงขึ้น
- คาดกําไรปี 2566 ที่ 1.64 พันล้านบาท และรายได้ที่ 1.33 หมื่นล้านบาท โดยมี Upside จากการเติบโตของรายได้กลุ่มประกันสังคม และคาดมีคนไข้ต่างชาติที่ 1.0 แสนรายในปี 2566
- ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 21.00 บาท
Meeting Key Takeaways
- รายได้จากกลุ่มประกันสังคมปรับตัวสูงขึ้น 13.8% YoY จากการปรับเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกันตนที่ 8.3% YoY โดยปัจจุบัน BCH มี Quota อยู่ที่ 1.54 ล้านราย และมีจำนวนผู้ประกันตนในระบบที่ 1.01 ล้านราย
- รายได้จากคนไข้ต่างชาติอยู่ที่ 480 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 61.5% YoY โดยที่สัดส่วนกว่า 55% มาจากกลุ่มคนไข Middle East และสัดส่วนจากกลุ่มคนไข CLMV ที่ 25.8%
- EBITDA Margin ใน 1Q66 อยู่ที่ 22.3% ปรับตัวลดลงจากระดับ 23.3% ในช่วง 4Q65 และจาก 41.7% ในช่วง 1Q66 โดยที่ใน 1Q66 มีต้นทุนการบริการที่สูงขึ้นจากค่าไฟและค่าแรง
- โรงพยาบาลที่มี EBITDA ติดลบ ได้แก่ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อรัญประเทศ และ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่เปิดบริการไปเมื่อปี 2563 และ 2564 ส่งผลให้ยังเป็นช่วง Ramp Up ในขณะที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เวียงจันทน์ มี EBITDA เป็นบวกแล้ว
- คาด 2Q66 มีผลประกอบการฟื้นตัวได้ QoQ จากการระบาดของ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย. 2566 ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยเข้ารับการรักษา COVID-19 ในโรงพยาบาลเพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีเตียงรองรับผู้ป่วย COVID-19 ที่ 250 เตียง จาก 750 เตียงในช่วงที่มีการระบาดสูงที่สุด ประกอบกับการปรับเพิ่มคาเหมาจ่ายรายหัวของกลุ่ม ประกันสังคมจะเริ่มในเดือนพ.ค. 2566 แต่คาด 2066 ยังคงปรับตัวลดลง YoY จากฐานที่สูง ก่อนที่จะเข้าสู่ฐานปกติในช่วง 2H65
- คาด 2H66 สามารถเติบโตได้ YoY จากการฟื้นตัวของกลุ่มคนไข้เงินสด และกลุ่มคนไข้ต่างชาติที่ทาง BCH ได้พันธมิตรใหม่มาเจาะกลุ่มลูกค้า IVF และ Anti-aging จากประเทศจีน
รายได้และกำไรกลับสู่ระดับปกติ
- ปรับคาดการณ์รายได้และกำไรสุทธิปี 2566 ลง 5.6% เป็น 1.33 หมื่นล้านบาท และปรับลดกำไรสุทธิลง 19% เป็น 1.64 พันล้านบาท หลังจากที่ Margin อ่อนตัวลงจากการต้นทุนที่สูงขึ้น และลดลงตามสัดส่วนรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19
- รายได้ใน 2Q66 เป็นต้นไปคาด สามารถฟื้นตัวจากการปรับอัตราการเบิกจ่ายแบบ Fixed Capitation ขึ้นจาก 1,640 บาท/ราย เป็น 1,808 บาท/ราย และกลุ่มคนไขต่างชาติ จากการเพิ่มกลุ่มคนไขใหม่จากประเทศลิเบียและซาอุดิอาระเบีย และจีนที่มี Demand ในการทำ IVF และ Wellness
ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท
ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 21.00 บาท (จาก 23.60 บาท) โดยรายได้กลุ่ม Non- COVID คาดกลับมาสู่สภาวะปกติ และคนไข้ต่างชาติเริ่มกลับมารับบริการเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จะกลับสู่ระดับ Pre-COVID อย่างไรก็ดี การควบคุมค่าใช้จ่ายและการเพิ่มศูนย์การแพทย์ ส่งผลให้รายได้และกำไรจะมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
ปัจจัยเสี่ยง
- การปรับนโยบายการเบิกค่ารักษาพยาบาลของกลุ่มประกันสังคมในอนาคต เนื่องจาก BCH มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มนี้สูงถึง 35% ของรายได้รวมในสถานการณ์ปกติ
- ปัจจัยทางสภาพอากาศที่ส่งผลให้จํานวนผู้ป่วยผันแปรไปตามฤดกูาล
- การระบาดของโรคต่างๆ ตามแต่ละปีที่มีระยะเวลาและอัตราค่ารักษาที่แตกต่างกัน
- การแข่งขันด้านราคาและบริการของโรงพยาบาลใกล้เคียง