KS Daily View 24.05.2023 >>> เจรจาเพดานหนี้สหรัฐฯ ยังไม่ได้ข้อยุติ กลยุทธ์เน้นหุ้นกลาง-เล็ก SET คาดแกว่งตัวในกรอบ 1,490-1,535 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ GFPT, GULF

สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้

ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.69%, S&P 500 -1.12%, และ NASDAQ -1.26% โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 ได้แก่  Energy (+1.04%) ส่วน Sector ที่ underperform ได้แก่ Material (-1.54%), IT (-1.50%), Communication Services (-1.48%), Real Estate (-1.28%)

ในประเทศ: SET Index +5.60pts. หรือ +0.37% เป็น 1,534.84 หนุนโดย WHA (+4.8%), AP (+4.8%), BTS (+4.8%), TTB (+4.7%) ขณะที่ตัวที่ปรับตัวแย่กว่าตลาดได้แก่ DELTA (-5.7%), AOT (-2.1%), RBF (-2.0%), CK (-1.5%) เป็นต้น

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ประเมินตลาดหุ้นไทยยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,490-1,535 จุด หลังการเจรจาเพดานหนี้ของสหรัฐฯยังไม่ได้ข้อยุติ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิต่อเนื่อง จากความไม่แน่นอนทางการเมือง/การผ่านร่าง พรบ.งบประมาณที่ล่าช้ากว่าปกติ/นโยยายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่/การอ่อนค่าของเงินบาท โดยนักลงทุนต่างชาติมีสถานะขายสุทธิในตลาดหุ้นไทย 3,853 ลบ. วานนี้ และขายสุทธิแล้วกว่า 1.6 หมื่นลบ.ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 15 พ.ค. หลังทราบผลการเลือกตั้ง ขณะที่ในฝั่งตลาดพันธบัตร นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,828 ลบ. และกว่า 3  หมื่นลบ. หลังเลือกตั้ง ส่งผลให้ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่า 1.8% ในส่วนกลยุทธ์การลงทุน ช่วงนี้เน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวไปก่อน เพราะได้รับผลกระทบจำกัดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และนโยบายพรรคก้าวไกลที่เน้นลดอำนาจทุนผูกขาด/ปฏิรูปอุตสาหกรรมพลังงาน โดยวานนี้ดัชนี sSET และ MAI ปรับตัวขึ้น 1.60% และ 1.57% ตามลำดับ outperform ดัชนี SET ที่ขึ้นเพียง 0.4%

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.) สำนักข่าว Ft รายงานว่า ทำเนียบขาวและพรรค Republican ยังไม่บรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ในวันอังคาร เพราะเห็นต่างกันเรื่องการลดงบประมาณ โดยทางพรรค Republican ต้องการให้ลดการใช้จ่ายลงทันที ขณะที่ทางทำเนียบขาวเสนอให้คงระดับการใช้จ่ายปัจจุบันไปก่อน แล้วค่อยปรับลดในอนาคต ทั้งนี้เรายังคงมุมมองเดิมว่าการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ นั้นเป็นเกมการเมือง และหากผิดนัดจริงจะเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น และจะคลายตัวหากสามารถขยายเพดานหนี้ได้ในที่สุด มองการปรับตัวลงเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้น

2.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รับปากกับทางสภาอุตฯว่าจะไม่ขึ้นค่าแรง 450 บาทแบบกระชาก โดยจะมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม นอกจากการลดราคาพลังงาน ได้แก่ การสนับสนุนสมทบเงินประกันสังคม 6 เดือนแรก หรือมีค่าแรงขั้นต่ำขึ้น 2 เท่า 2 ปี สามารถหักภาษีได้ หรือนโยบายลดภาษีให้กับ SMEs จาก 20% เป็น 15% จาก 15% เป็น 10% เป็นต้น ทั้งนี้ธุรกิจที่คาดจะได้รับผลกระทบหลักๆจากการขึ้นค่าแรงคือกลุ่มที่ใช้แรงงานเยอะ และอิงค่าแรงขั้นต่ำเป็นหลัก เช่น ร้านอาหาร, โรงแรม, โรงงานผลิตอาหารแปรรูป, สิ่งทอ, รับเหมาก่อสร้าง, ค้าปลีก เป็นต้น ขณะที่กลุ่มนิคมฯ อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นค่าแรงอาจเป็นบวกกับกลุ่ม Consumer Finance รวมถึงกลุ่มที่รายได้อิงกับการปรับขึ้นค่าแรง เช่น PRTR เป็นต้น โดยเราประเมินว่าการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุกๆ 10% จะกระทบเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น 60bps. และกระทบกำไรของบริษัทจดทะเบียนราวๆ 1.5-2%

3.) บราซิลได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพสัตว์เป็นเวลา 180 วันเพื่อรับมือต่อการตรวจพบไวรัสไข้หวัดนก H5N1 ในนกป่า และเพื่อควบคุมความเสี่ยงที่จะระบาดไปสู่สัตว์ปีกอื่นๆในประเทศ มองเป็น sentiment บวกกับกลุ่มปศุสัตว์ของไทย เช่น GFPT, TFG, CPF, BTG เป็นต้น

4.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าชาวจีนบริโภคตีนไก่คิดเป็น 80% ของโลก ซึ่งคนจีนนิยมนำมาทำอาหารว่าง แต่สามารถผลิตตีนไก่ 18,000 ล้านตีนต่อปี ขณะที่มีความต้องการบริโภคปีละ 30,000 ล้านตีนทำให้ต้องนำเข้าตีนไก่แช่แข็งโดยนำเข้าจากบราซิลมากที่สุด คิดเป็น 62.82% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด สำหรับประเทศไทยพบว่าในปี 2565 จีนนำเข้าตีนไก่จากไทยเพิ่มขึ้น 16.17% YoY มองเป็นบวกกับกลุ่มปศุสัตว์ของไทย

Theme การลงทุนสัปดาห์นี้

เลือกหุ้น K ขาล่าง ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายกระจายรายได้ของพรรคก้าวไกล/อัดฉีดเงินลงระบบของเพื่อไทย ได้แก่ AEONTS (ราคาพื้นฐาน 208 บาท), NCAP (ราคาพื้นฐาน 5.10 บาท) AURA (ราคาพื้นฐาน 19.34 บาท) TTB (ราคาพื้นฐาน 1.73 บาท) เป็นต้น

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

GFPT (ราคาพื้นฐาน 13.60 บาท) คาดกำไรฟื้นตัวใน 2Q23 จาก GPM ที่ฟื้นตัวกลับมาในระดับ 13-14% (จาก 10% ใน 1Q23) บนราคาไก่ที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่ราคาอาหารสัตว์นำเข้าทยอยอ่อนตัวลงจากปรากฎการณ์แอลนีโญ่ ในส่วนของอุปสงค์นำเข้าจากต่างประเทศทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น และจีน

GULF (ราคาพื้นฐาน 57.00 บาท) ราคาปรับตัวลดลงมาจาก 53 บาทมาอยู่ที่ 48.50 บาท ลดลงราว 9% เป็นจังหวะทยอยสะสม โดยเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ในไตรมาส 1/66 ของ GULF เนื่องจากเป็นเรื่องยากที่จะเปลี่ยนแปลงสัญญา PPA ที่ลงนามแล้ว ผลกระทบจากค่า Ft ที่จำกัด และความคืบหน้าในการพัฒนาโครงการ ข้อมูลใหม่ที่สำคัญคือ

1) ได้รับ MW 1.7GW จากการประมูลครั้งล่าสุด

2) การเข้าซื้อหุ้น 20% ใน LPCL

ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ด้วย TP ใหม่ที่ 57 บาท GULF อยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตโดยได้รับผลกระทบจากค่า Ft ที่จำกัด

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ:

  • วันพุธ ติดตาม ตัวเลขเงินเฟ้ออังกฤษ เดือน เม.ย. คาด +8.3% YoY ตัวเลข Germany Ifo business climate เดือน พ.ค. คาด 93 จุด (-0.6% MoM)
  • วันพฤหัสฯ ติดตาม FOMC minute ตัวเลข  GfK Consumer Confidence เดือน มิ.ย.คาดที่  -24 จุด (จากเดือนก่อนหน้าที่ -25.7 จุด) ตัวเลข Us Jobless claim รายสัปดาห์ คาด 250K (จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 242K) ตัวเลข Pending home sale เดือน เม.ย. คาด -19% YoY
  • วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข Retail sale ของอังกฤษ เดือน เม.ย. คาดที่ +0.4% MoM ตัวเลข  US Core PCE เดือน เม.ย. คาดที่ +0.3% MoM  ตัวเลข US Durable goods order เดือน เม.ย. คาดที่ -1% MoM ตัวเลข  US Personal spending เดือน เม.ย. คาดที่ +0.4% MoM และตัวเลข  US Personal income  เดือน เม.ย. คาดที่ +0.4% MoM
- Advertisement -