บล.ฟิลลิป:
AAI: 1Q66 สต็อกลูกค้าสูง สั่งซื้อลดลง
IAA Consensus TP’66 : 5.80 – 6.35
1Q66 รายได้ขาย -15.7% y-y โดนกดดันในส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ที่สต๊อกลูกค้าอยู่ในระดับสูง ทำให้การสั่งซื้อลดลง, GPM 9.3% ลดลง y-y ต้นทุนทูน่าที่เพิ่ม และมีสัดส่วนรายได้อาหารพร้อมทาน (Human Food) ที่สูงขึ้น ซึ่งทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ต่ำกว่าอาหารสัตว์เลี้ยง, กำไรสุทธิ 72.3 ลบ. -60.0%y-y, 2Q66 ลูกค้าเริ่มกลับมาสั่งซื้อ และค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่า จะทำให้ GPM ดีขึ้น คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวขึ้นทุกไตรมาส
- สต๊อกลูกค้าสูง: 1Q66 รายได้ขาย 1,391 ลบ. -15.7% y-y โดยหลักมาจาก OEM กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งขายในอเมริกาและแคนนาดาเป็นหลัก โดนกดดันจากสต๊อกลูกค้าอยู่ในระดับสูง ทำให้การสั่งซื้อลดลงและปัญหาการขนส่งที่คลี่คลาย ทำให้ช่วงของการสั่งซื้อกลับมาเป็นปกติประมาณ 2 เดือนจึงไม่ต้องเร่งการสั่งซื้อ, ส่วนอาหารพร้อมทาน (Human Food) เติบโตขึ้น y-y ซึ่งขายในตะวันออกกลางและญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่มีสัดส่วนรายได้เพียง 25% น้อยกว่าอาหารสัตว์เลี้ยงที่ 75%, GPM 9.3% ลดลง y-y ต้นทุนทูน่าที่เพิ่ม และมีสัดส่วนรายได้อาหารพร้อมทานที่สูงขึ้น ซึ่งทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ต่ำกว่าอาหารสัตว์เลี้ยง, กำไรสุทธิ 72.3 ลบ. -60.0%y-y
- ฟื้นขึ้นทุกไตรมาส: ลูกค้าเริ่มกลับมาสั่งซื้อในปลาย 2Q66 จะช่วยให้สัดส่วนรายได้อาหารสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น และค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่ากว่าไตรมาสแรกจะทำให้ GPM ดีขึ้น, คาดผลประกอบการจะฟื้นตัวขึ้นทุกไตรมาส เนื่องจากฝั่งของลูกค้ายังคงมียอดขายที่ดีต่อเนื่อง แต่ด้วยผลประกอบการ 1Q66 ที่อ่อนตัวทำให้ปี 66 ผู้บริหารมีการปรับประมาณการรายได้ลง โดยกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงคาดรายได้ -12%y-y แต่กลุ่มอาหารพร้อมทานคาดรายได้ +15%y-y จากความต้องการที่สูง, ปรับลด GPM อยู่ที่ 14-15% จากสัดส่วนรายได้อาหารพร้อมทานที่เพิ่มขึ้น
- เพิ่มค่าแรง: บริษัทฯ กังวลจะทำให้เสียศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศเวียดนาม ซึ่งค่าแรงถูกกว่าไทย แต่ในปัจจุบันลูกค้ายังคงเชื่อมั่นผู้ผลิตในไทยมากกว่า เนื่องจากไทยยังมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่สูงกว่า ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาสินค้าร่วมกับลูกค้าต่อไปในอนาคต