Daily Focus: Selective Play
2023SET Target: 1620
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงค่อนข้างแรง ปิดลบ 12.14 จุด ณ สิ้นวัน จากแรงขายที่กดดันหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยคาดว่ายังคงเกิดจากความกังวลนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่อาจกระทบต่อการเติบโตระยะยาว สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้น 561 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเร่งตัวขึ้นเป็นเกือบ 3.9 พันลบ. (และพลิกมา Long Index Futures 1.3 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัวในกรอบ 1,515-1,535 จุด กลุ่มน้ำมันต้นน้ำ-กลางน้ำ คาดกลับมาหนุนตลาดได้ระยะสั้น จากราคาน้ำมันดิบที่ฟื้น เก็งผลการประชุม OPEC+ สุดสัปดาห์นี้ ส่วนการลงมติขยายเพดานหนี้สหรัฐฯอยู่ในชั้นสว. หากผ่านจะส่งให้ไบเดนลงนาม ตลาดมองว่าน่าจะสําเร็จและทันเส้นตาย 5 มิ.ย. ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น Bond Yield และ Dollar Index อ่อนตัวลง ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาตเกษตรสหรัฐฯ เดือน พ.ค. ซึ่งจะมีผลต่อตลาดในการประเมิน FED ว่าจะคงหรือขึ้นดอกเบี้ยต่อในการประชุมเดือน มิ.ย. ขณะที่ปัจจัยในประเทศโฟกัสยังคงอยู่ที่พัฒนาการการจัดตั้งรัฐบาล และนโยบายในระยะถัดไป ทำให้หุ้นที่มีความเสี่ยงถูกกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จะยังถูกกดดันและปรับขึ้นได้จำกัด เรามองระยะสั้น Upside ของสินทรัพย์เสี่ยงยังไม่กว้าง จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลก 2H23 ที่มีแนวโน้มชะลอชัดขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะยังอยู่ในระดับสูงกว่าระดับปกติ ทำให้ภาคการส่งออกคาดว่ายังไม่สดใส เราจึงยังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic มากกว่า Global Play โดยเลือกหุ้นที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จํากัด
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกและเสี่ยงกระทบจากนโยบายรัฐบาลใหม่จำกัด/ ทยอยสะสมหุ้นเพิ่มที่ฐาน 1,500+- จุด
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย. : BDMS, CPN, MAKRO, MINT, ORI
หุ้นเด่นวันนี้ : TOA
- แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 40 บาท
- คาดกําไร 2Q23 ชะลอ q-q ตามปัจจัยฤดูกาลที่มีวันหยุดจํานวนมาก และเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน แต่คาดยังโตแกร่ง y-y โดยเฉพาะจาก Demand กลุ่ม repaint ในไทย ยอดขายต่างประเทศหลักๆ จากเวียดนาม คาดเห็นการทยอยฟื้น q-q หลังจาก 1Q23 มีปัญหาภาคอสังหาฯ ส่วนด้าน Margin ใน 2Q23 คาดปรับตัวดีขึ้นจากสัดส่วนการใช้ TiO2 จากจีนที่สูงขึ้นเป็น 35% จาก 1Q23 ที่ 20%
- ประเด็นการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำคาดกระทบไม่มาก ยังคงประมาณการกำไรปี 2023 ที่ 2.2 พันลบ. +33% y-y และมี Upside จาก Margin ที่อาจทําได้ดีกว่าคาด
- แนวรับ 32-31.50//30 บาท แนวต้าน 34//36 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคอีก US$233 ล้าน เม็ดเงินไหลออกจากไต้หวัน US$149 ล้าน แต่ยังไหลเข้าเกาหลีใต้เล็กน้อย US$42 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินยังผสมผสาน แต่ยังไหลออกจากไทยหนาแน่น และเร่งตัวขึ้นเป็น US$113 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลเข้าจากการขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ที่ตลาดมองว่าวุฒิสภาจะลงมติและไบเดนลงนามทันเส้นตาย
ประเด็นสําคัญวันนี้
(0) จับตาตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ คืนนี้ โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน พ.ค. ตลาดคาดเพิ่มขึ้น 1.9 แสนตำแหน่ง ชะลอตัวจากเดือน เม.ย. ที่ 2.53 แสนตำแหน่ง หากออกมาสูงกว่าคาดอย่างมีนัยยะ จะทำให้ตลาดกลับมามองและเพิ่มความเป็นไปได้ที่ FED อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือน มิ.ย. จากปัจจุบันที่ตลาดมองคงอัตราดอกเบี้ยเพื่อประเมินข้อมูลในระยะสั้น แต่ยังเปิดทางในการปรับขึ้นในเดือน ก.ค. หากเงินเฟ้อยังลงช้า
(+) กลุ่มโรงกลั่น เรามองราคาหุ้นปรับลงค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้าได้สะท้อนปัจจัยลบต่างๆ ทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง และค่าการกลั่นที่ชะลอตัวไปมากแล้ว ทําให้ Valuation ค่อนข้างน่าสนใจ เราคาดว่าผลการดำเนินงาน 2H23 ของกลุ่มโรงกลั่นจะฟื้นตัวขึ้น h-h หนุนจากความต้องการใช้น้ำมันที่ฟื้นตัว และ Crude Premium ที่ลดลง ขณะที่ปี 2024-2025 คาดว่าจะดีขึ้นต่อเนื่องตามเศรษฐกิจที่ฟื้น ขณะที่ Supply ที่เพิ่มขึ้นมีค่อนข้างจำกัด เราให้น้ำหนักการลงทุน Overweight เลือก Top Pick เป็น SPRC เนื่องจากเป็น Pure Refinery Play และเป็นเบนซินในสัดส่วนสูง ทำให้ได้ประโยชน์จาก Driving Season ส่วน BCP เป็นอีก Top Pick จากดีล ESSO ที่เรามองเป็นบวก
(0) OSP ขายหุ้น Unicharm ทั้งหมด 5.85% มูลค่า 3 พันลบ. เป็นไปตามกลยุทธ์ที่ต้องการเน้น Core Business ส่วนกำไรจากการขายคาดว่าค่อนข้างสูง เนื่องจากต้นทุนต่ำกว่า 1 พันลบ. แต่จะเข้าส่วนผู้ถือหุ้นโดยตรงโดยไม่ผ่าน P&L ที่ผ่านมา OSP ได้เงินปันผลจาก Unicharm ปี ละ 100-300 ลบ.หรือคิดเป็นสัดส่วน 3-7% ของกำไรสุทธิ ประมาณการกำไรปี 2023 ของเราที่ 2.5 พันลบ. +29% y-y ไม่ได้รวมเงินปันผลอยู่แล้ว จึงไม่กระทบต่อประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย เงินที่ได้จากการขาย Unicharm จะนำไปใช้ M&A ธุรกิจอื่นใหม่ในปีนี้ ยังคงราคาเป้าหมาย 33 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 153.30 จุด หรือ +0.47% ปิดที่ 33,061.57 จุด ได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ในสภาคองเกรส
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก หลังตัวเลขเงินเฟ้อออกมาลดลงและต่ำกว่าที่คาด ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า ECB อาจไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะถัดไป
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก ขณะที่นักลงทุนรอติดตามตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐในวันนี้
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.57 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2.01 ดอลลาร์ หรือ 2.95% ปิดที่ 70.10 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับข่าวสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายขยายเพดานหนี้ ขณะที่นักลงทุนรอติดตามผลการประชุมของกลุ่มประเทศโอเปก และโอเปกพลัสในวันอาทิตย์นี้ ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นต่อที่ระดับ 70.28 ดอลลาร์/บาร์เรล 0.26%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 13.40 หรือ 0.68% ปิดที่ 1,995.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ในขณะที่เช้านี้ ปรับย่อตัวที่ระดับ 1,994.00 ดอลลาร์/ออนซ์ -0.08%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 938.11 / -1.45