ประเมิน SET แกว่งตัว sideway หลังปรับตัวขึ้นเหนือเส้นกลาง Bollinger band ที่ 1,540 ได้มั่นคง ระยะสั้นลุ้นทดสอบแนวต้าน (จุดสูงหลังวันเลือกตั้ง) 1,570 เป็นจุดพิจารณาเล่นรอบ แนวรับ 1,552/1,540
ประเด็นการลงทุน
- วันนี้เคาะ BTS รับ sentiment เชิงบวกความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
MARKET STRATEGY
สรุปตลาดวานนี้ SETI ปิดที่ 1,551,41 จุด ลดลง 3.70 จุด (-0.24%) มูลค่าการซื้อขาย 31787.93 ล้านบาท แกว่งตัวในกรอบแคบๆ อยู่ระหว่างการรอติดตามการประชุมเฟดในกลางสัปดาห์นี้
Research Highlight: สัปดาห์ของการประชุมนโยบายการเงิน // จับตาประเด็นการเมืองในประเทศ
ติดตามการประชุม Fed, ECB และ BOJ
- Fed 15 มิ.ย.
- ข้อมูลจาก Fed Watch Tool ระบุตลาดให้น้ำหนักสูงถึง 75% ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ แต่ให้แนวโน้มเกิน 50% ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมในเดือน ก.ค. ก่อนจะคงที่ระดับดังกล่าวไปจนถึงเดือน ก.ย. ทั้งนี้เชื่อว่าเฟดจะส่งสัญญาณไม่ปิดประตูในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้
- อย่างไรก็ดี ประเมินว่าเฟดอาจคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.00-5.25% ในสิ้นปีนี้ (ประชุมเฟด เดือน พ.ย. คาดว่าจะปรับลดลงมา 0.25%)
- ทั้งนี้เรามองว่าตลาดรอข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอย่าง CPI พ.ค. สหรัฐฯ (13 มี.ย.) ตลาดคาดว่าจะชะลอตัวลงเหลือ +4.1%YoY จากเดือนก่อนที่ +4.9%YoY หากออกมาตามคาดจะเป็นปัจจัยหนุนให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ย
- ECB 15 มิ.ย.
- คาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 49% สวนทางกับเฟด หนุนดอลลาร์ให้อ่อนค่า เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ที่ล่าสุด CPI เม.ย.. +7.0%YoY (กรอบเป้าหมาย 2%) และโดยหลักมาจากฝั่ง demand (อาหาร) เป็นหลัก ทั้งนี้จะมีรายงาน CPI พ.ค. 16 มิ.ย. คาด +6.1% YoY
- B0J 16 มิ.ย.
- คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% แต่ต้องติดตามการส่งสัญญาณที่จะยุติการใช้นโยบาย YCC หลังจากช่วงปลายปี 65 BOJ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีของรัฐบาลญี่ปุ่นให้เคลื่อนไหวในช่วง -0.5% ถึง +0.5% จากเดิมที่ -0.25% ถึง +0.25% สะท้อนสัญญาณยุติการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ ทั้งนี้ CPI เม.ย. อยู่ที่ +3.5%YoY (กรอบเป้าหมาย 2%) จะมีรายงาน CPI พ.ค. วันที่ 23 มิ.ย.
ปัจจัยการเมืองกระทบต่อ fund flow ต่างชาติ ให้ wait&see
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิเพียง 60 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายทั้งตลาดเบาบาง ส่วนหนึ่งมาจากรอความชัดเจนจากการเมืองไทย
- มีแรงขายในกลุ่ม INTUCH หลังจากที่ได้ให้ตรวจสอบบันทึกการประชุมบ.ย่อย ITV หลังจากถูกร้องเรียนว่าไม่ตรงกับเอกสารรายงานการประชุม ซึ่งกระทบต่อประเด็มม. 151 ที่ กกต.ตั้งกรรมการสอบสวน ในเรื่องของบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามในการรับสมัครเลือกตั้งของคุณพิชา Candidate นายกฯ จากพรรคก้าวไกล แต่ในอดีตพบว่าผู้ที่โดนฟ้องมาตรา 151 มีโอกาสที่จะผิดกฎหมายน้อยกว่ามาตรการอื่น จึงมีความเป็นไปได้ว่าพรรคก้าวไกลน่าจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
- ขณะที่มีแรงขายในหุ้น GULF เช่นกัน แต่เรามองว่าราคาปรับตัวลงมาแล้วกว่า 12% หลังจากการเลือกตั้ง ราคาได้ตอบรับเชิงลบปัจจัยทางการเมืองไปพอสมควรแล้ว หากรับความเสี่ยงได้สูง มองว่าที่ระดับราคาดังกล่าวน่าสนใจซื้อเก็งกำไร
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง แรงหนุนกลุ่ม Anti- commodity
- โกลด์แมน แซคสลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์สัญญาส่งมอบเดือนธ.ค.ลงสู่ 86 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งลดลงจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 95 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยถือเป็นการลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ครั้งที่ 3 ในรอบ 6 เดือนของโกลด์แมน แซคส์ หลังก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะแตะ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล
- โดยหลักมาจากอุปทานน้ำมันจากประเทศต่างๆ ที่ถูกคว่ำบาตรเพิ่มสูงขึ้น เช่น รัสเซีย อิหร่าน และเวเนซูเอลา โดยเฉพาะในรัสเซีย ที่ฟื้นตัวแม้เผชิญมาตรการคว่ำบาตรจากประเทศแถบตะวันตก รวมถึงความวิตกกังเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และอัตราดอกเบี้ยที่สูง เป็นปัจจัยกดดันด้านราคา
- ในเชิง Sentiment เราแนะนำทยอยลดพอร์ทกลุ่มพลังงาน น้ำมัน และแนะนำ Trading กลุ่ม Anti- commodity เราชอบ SCC SCGP TASCO CBG
Investment Strategy
- ประเมิน SET แกว่งตัว sideway หลังปรับตัวขึ้นเหนือเส้นกลาง Bollinger band ที่ 1540 ได้มั่นคง ระยะสั้นสั้นทดสอบแนวต้าน (จุดสูงหลังวันเลือกตั้ง) 1570 เป็นจุดพิจารณาเล่นรอบ แนวรับ 1550/1540
- ในเชิงกลยุทธ์ เราแนะนำ Selective buy หุ้นในกลุ่ม Cyclical play KBANK KTB TRUE BJC LH AOT ADVANC BDMS PTG และ DCA KBANK BJC TRUE CBG
Global Markets
(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนี ซึ่งได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอาดิดาส ขณะที่นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การประชุมของธนาคารกลางต่างๆ ในสัปดาห์นี้
(-) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดร่วงลงกว่า 4% เนี่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันใน ตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และอุปสงค์ที่อ่อนแรงลงในประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลก ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
(-) สัญญาทองคำตลาด COMEX ปิดลบ โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเทขายลดความเสี่ยง ก่อนที่จะรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
หุ้นเคาะไป คุยไป…BTS
- BTS รับ Sentiment เชิงบวกจากการพูดคุยกับผู้ว่าฯกทม. ถึงแนวทางในการเดินหน้าและหาทางออกถึงปัญหาเรื่องภาระหนี้รถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว รวมทั้งหารือเรื่องค่าจัดหารถไฟและระบบไฟฟ้า (E&M) และปัญหาเรื่องรถไฟฟ้าสีเขียวที่ค้างอยู่ที่คณะรัฐมนตรี เบื้องต้นมีโอกาสที่สภากทม. อนุมัติจ่ายหนี้ก้อนแรกให้ในก.ค. นี้ (ปัจจุบันภาระหนี้สินคงค้างจากสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท) รวมถึงรับประโยชน์ จากแนวโน้มที่พรรคก้าวไกลจะเข้ามาดูสัญญาการคัดเลือกเอกชนประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม หากพรรคก้าวไกลสามารถรจัดตั้งรัฐบาลสําเร็จ ขณะที่ราคาปรับตัวลงมาแล้วกว่า 12.5% สะท้อนภาพความเสี่ยงข้อพิพาท กับ กทม. รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มไปพอสมควรแล้ว มองที่ระดับราคาปัจจุบันเป็นจังหวะซื้อสะสมระยะกลาง-ยาว
- แนวโน้ม 1Q67 (เม.ย.-มิ.ย 66) เราคาดว่าผลประกอบการจะตีขึ้น QoQ โดยพลิกกลับมามีกำไรสุทธิเนื่องจากไม่มีการบันทึกขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมในเงินลงทุนตราสารหนี้ ส่วน YoY มองว่าจะหดตัวจากรายได้ ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลืองที่ลดลง รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น ขณะที่บริษัทที่ลงทุนเช่น SINGER, KEX ยังมีแนวโน้มที่ไม่สดใส นอกจากนี้ยังมีจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 0.16 บาท คิดเป็น Div.yield ที่ 2.2% ขึ้น XD วันที่ 7 ส.ค.
- ภาพแนวโน้มปี 67 เป้ารายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง 6.9 พันล้านบาท (เทียบปี 66=6.8 พันล้านบาท), รายได้ก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสีเหลือง ที่ 2.9 พันล้านบาท (เทียบปี 66 = 5.3 พันล้านบาท), รายได้ดอกเบี้ยรับที่เกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้า 5.2 พันล้านบาท (เทียบปี 66 = 4.5 พันล้านบาท), ราคาค่าตัวสายสีเขียวเฉลี่ย 34-35 บาท/รอบ, จำนวนคนโดยสารโดยประมาณ 700-750K ต่อสัปดาห์ ส่วน เป้ารายได้ VGI ปีนี้คาดว่าอยู่ในกรอบ 6.0-6.5 พันล้านบาท และ VGI NPAT margin มากกว่า 10%
Source : Bloomberg