บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
KCE Electronics (KCE.BK/KCE TB)* รอจังหวะฟื้น
Event
อัพเดตแนวโนมบริษัท และประมาณการ 2Q66
Impact
คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะฟื้นตัวขึ้น จากข้อมูลของ European Automobile manufacturers association (ACEA) ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลใน EU ในเดือนเมษายนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 800,000 คัน (+17% YoY) ทำให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในงวด 4M66 อยู่ที่ 3.5 ล้านคัน (+18% YoY); โดยยอดจดทะเบียนรถไฟฟ้าใหม่ใน EU อู่ที่ 95,000 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 11.8% เพิ่มขึ้นจาก 9% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้บ่งชี้ถึงการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์หลัง COVID-19 และปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบที่คลี่คลายลงไป ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญในระดับโลกคาดว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปีนี้จะโต 5% YoY และจะโตประมาณ 3% ในอีกสามปีข้างหน้า (2567F-2569F)
ประมาณการ 2Q66: กำไรจากธุรกิจหลักจะลดลง YoY แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ
เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ KCE ใน 2Q66 จะอยู่ที่ 319 ล้านบาท (-47% YoY, +1% QoQ) ซึ่งจะทำ ให้กำไรจากธุรกิจหลักใน 1H66 อยู่ที่ 633 ล้านบาท (-45% YoY) และคิดเป็น 32% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา กำไรที่ลดลง YoY จะเป็นเพราะยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นลดลง ซึ่งสะท้อนถึงการลดสต็อก (inventory destocking) เราคาดว่ายอดขายใน 2Q66 จะอยู่ที่ 117 ล้านดอลลาร์ฯ (-14% YoY, -2% QoQ) ซึ่งจะทำให้ยอดขายใน 1H66 เพิ่มขึ้นเป็น 237 ล้านดอลลาร์ฯ (+14% YoY) และคิดเป็น 47% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา นอกจากนี้ เราคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q66 อยู่ที่ 20% (-2.8ppts YoY, +0.4ppts QoQ) ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นใน 1H66 อยู่ที่ 19.8% (-3ppts YoY) ต่ำกว่าสมมติฐานปีนี้ของเราที่ 22.5%
รอสัญญาณการฟื้นตัวใน 2H66
การลดสต็อกใน 1H66 อาจจะทำให้เกิดการตุนสต๊อก (inventory restocking) ใน 2H66 ในขณะที่อัตรากำไรอาจจะดีขึ้นเมื่อยอดขายฟื้นตัว และทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตกลับขึ้นไปถึงระดับที่เหมาะสม (optimal) ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรของ KCE น่าจะโต HoH แต่ยังคงต้องติดตามภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งอาจจะทำให้มีการเลื่อนตุนสต๊อกออกไป
Valuation & action
เรายังคงคำแนะนำ “ถือ” KCE และประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 36.50 บาท อิงจาก PER ที่ 2 22.0x (คาเฉลียในอดีต -0.5 S.D.)
Risks
ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2566-67 ที่ 33.80 บาท/ดอลลาร์ฯ)